วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เด็กจิ๋ว@Nishaville

ครั้งนี้ชวนพี่โนพี่โน่ไปณิชาวิลล์ ประจวบ คุณแม่เพิ่งไปซื้อ vouchure มาจากพาราก้อนอาทิตย์ก่อน
บ้าน เรากับบ้านผู้หญิงนัดออกจากบ้านพร้อมๆกันแล้วกะว่าจะไปเจอกลางทาง ขับรถไปเรื่อยๆ เจอกันบนท้องถนนพอดีเลย ชวนกันแวะ Porto Chino เป็น mall แบบ out door อยู่แถวๆมหาชัย เราซื้อของมาให้เด็กกินในรถ แล้วรีบไปต่อ เพราะปลายทางอยู่ไกลมาก เด็กจิ๋วเจอพี่ๆแล้วทำเป็นเก็ก ไม่ยอมพูดไม่ยอมไปเล่นด้วย แต่จ้องมองพี่ๆตลอดนะ เวลาเค้าเดินไปไหนก็เดินตามไปด้วย

ถึงร้านป้าสังเวียนเกือบๆเที่ยง วันนี้ไม่อร่อยเหมือนคราวที่แล้วเลย คาดว่าจะเป็นเพราะอากาศร้อน เด็กๆก็ไม่มีใครกินอาหารเลย คือเพิ่งกินกันมาในรถด้วย แล้วก็หันไปกินหนมกินไอติมกันแทน พวกผู้ใหญ่ก็กินกันไปนิดหน่อยเหลือเกือบทุกอย่าง ให้ห่อไปกินมื้อเย็นต่อ

ขับ ต่ออีกชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึงณิชาวิลล์ จากล็อบบี้ต้องนั่งรถกอล์ฟของโปรดเด็กจิ๋วเข้าไปที่ตัวบ้าน คือที่นี่มีพื้นที่กว้างมาก ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เปล่า ปูหญ้าเขียวๆมีต้นมะพร้าว น่าจะรอไว้สร้างอะไรต่อในอนาคต อย่างตอนนี้ก็เริ่มสร้างห้องพักแบบตึกเพิ่มแล้ว ยังไม่เสร็จดี ส่วนที่เราจะพักเป็นบ้านแบบสองห้องนอน ลักษณะเป็นบ้านจริงๆ คือมีห้องครัวใหญ่ๆ มีหลังบ้านตากผ้า มีห้องโถงนั่งเล่น ห้องนอนสองห้อง แล้วก็ระเบียงใหญ่โต เค้าบอกว่าเป็นบ้านแบบสร้างแล้วให้คนมาเช่าระยะยาว 30 ปี แล้วเจ้าของที่เช่าไปก็เอามาให้โครงการปล่อยเช่า บ้านทุกหลังเลยดูแลอย่างดี เรียบร้อย สะอากสะอ้าน คือดีกว่าที่คิดไว้มาก ราคาที่จองมาก็ไม่แพง 5 พันกว่าบาทต่อหลัง แต่พอไปถึงแล้วเราขออัฟให้เป็น sea view คือใกล้ทะเลมากขึ้น เพิ่มอีกพันห้า แต่ยังไม่ติดทะเลอยู่ดีนะ บ้านติดทะเลมีแค่ 2 หลัง เป็นแบบ 3 ห้องนอน อันนั้นถูกใจมาก ระเบียงใหญ่ติดทะเล ตัวบ้านก็กว้างกว่ามาก แต่หลังละหมื่นสาม ถ้าชวนที่บ้านมาน่าจะดี

พอเข้าบ้าน เราก็งัดของเล่นมาเล่นกัน เป็นรางรถ tomy พี่โน่ชอบมาก นั่งเล่นได้นานมาก แต่ที่ชอบกว่าคือเกมส์ตกปลา เล่นทั้งวันทั้งคืน ผู้หญิงบอกว่าอยู่ที่บ้าน พี่โน่ก็ชอบเล่นตกปลามาก เล่นกันไปมา เบ็ดขาด 2 อันเลย สงสัยว่าเด็กจิ๋วยื้อแย่งกับพี่โน่

บ่าย แก่ๆ เราพากันไปเตะทรายที่ทะล ลมแรงมาก คล้ายๆกับที่สิรารัญเลย มีจังหวะหนึ่งลมพัดมาแรงมาก ทรายปลิวเข้ากระแทกใส่หน้าเจ็บเลย เด็กจิ๋วก็โดน หลังจากโดนไปแล้ว เด็กจิ๋วเริ่มหวาดระแวง ไม่ค่อยยอมลงวิ่งเล่นอีกเลย

เล่นทรายเล่นน้ำทะเลกันได้ปั๊บเดียวฝน ก็ตกลงมา ต้องรีบวิ่งเข้าไปหลบกันที่ริมสระว่ายน้ำ ประมาณครึ่งชั่วโมงได้ฝนก็หยุด เลยลงสระว่ายน้ำกัน เด็กจิ๋วตามติดพี่โนจนน่าหมั่นไส้มาก พี่โนก็เล่นกับเด็กจิ๋วโดยไม่สนใจน้องตัวเองน่าหมั่นไส้เหมือนกัน แบบว่าพี่โน่เล่นอยู่มุมโน้น พี่โนกับเด็กจิ๋วมาเล่นอยู่อีกมุมหนึ่ง สระว่ายน้ำที่นี่ก็ใช้ได้ มีส่วนตื้นให้เดินได้นิดหน่อย แต่ไม่กว้างมาก

ขึ้น จากสระว่ายน้ำกันก็กลับบ้านแยกย้ายกันอาบน้ำแต่งตัวมากินข้าวเย็นกัน เพิ่งเคยมาเที่ยวกับพี่โนพี่โน่แบบบ้านสองห้องนอนแบบนี้ รู้สึกว่าดีแหะ เด็กๆมีพื้นที่ให้เล่นด้วยกัน ห้องโถงนั่งเล่นต่อเนื่องกับห้องกินข้าว ค่อนข้างกว้างเลย วิ่งเล่นกันได้ วันนี้พี่โนต้องทำการบ้านโหดด้วย เด็กจิ๋วไปมีส่วนร่วมตลอดเวลา ผู้หญิงอ่านหนังสือให้พี่โนฟัง เด็กจิ๋วก็เข้าไปแทรกกลางนั่งฟังด้วย ราวกับเป็นลูกของผู้หญิงอ่ะ มีตอนหนึ่งเด็กๆวิ่งเล่นกันไปมาแล้วพี่โน่ไปโดนอะไรชนที่หน้าไม่รู้ เป็นแผลใหญ่ เลือดไหลเลย ค่อนข้างแรงเหมือนกัน พวกผู้ใหญ่ก็ถามเด็กๆว่าพี่โน่ไปโดนอะไร คุณแม่คิดว่าต้องเป็นเด็กจิ๋วแน่ๆเลย อาจจะเอาถุงขนมคมๆไปตีหน้าพี่โน่แล้วข่วนเลือดไหล คือก็เพิ่งรู้นะว่าเด็กสองขวบยังเล่าเรื่องไม่ค่อยเป็น ถามว่าเด็กจิ๋วไปแกล้งพี่โน่หรือเปล่า เอาถุงขนมไปตีหน้าพี่โน่หรือเปล่า เด็กจิ๋วตอบว่า "คุณแม่รู้ไม๊ คือถุงมันก็คมใช่ไม๊ แล้วพี่โน่ก็วิ่งใช่ไม๊ " อะไรไม่รู้เรื่องเลย จับใจความไม่ค่อยได้ จนสุดท้ายไปถามพี่โน่ พี่โน่เล่าได้รู้เรื่องกว่า สรุปแล้วก็คือพี่โน่วิ่งไปชนมุมปูนหน้าห้องน้ำ

ตอน แยกย้ายกับไปนอน เด็กจิ๋วมีปัญหาทันที ร้องไห้ลั่นบ้าน จะหาพี่โนจะหาพี่โน แต่ที่จริงแล้วก็คือง่วงนั่นแหล่ะ หาเรื่องงอแงไปงั้นแหล่ะ กว่าจะปราบให้หลับได้

ตอนเช้าปะป๊ากลับมาจากถ่ายรูปตอนแปดโมง มาปลุกเด็กจิ๋วให้ไปเตะทรายกัน ปกติเด็กจิ๋วต้องเด้งตัวรีบพุ่งตัวไปแล้ว แต่วันนี้ไม่ยอม นอนกลิ้งไปกลิ้งมา ตอนแรกคิดว่าง่วงนอน มาปลุกเช้าไป แต่ที่ไหนได้ พอพาไปที่ทะเลแล้วถึงเพิ่งรู้ว่าเด็กจิ๋วไม่อยากเล่นทรายแล้ว กลัวเจ็บแบบเมื่อวาน เด็กจิ๋วไม่รู้หรอกว่าเมื่อวานลมแรงพัดทรายเข้าหน้า เด็กจิ๋วได้แต่บอกว่า "ไม่เอา หนูไม่เตะทราย มันมีหอยเจ็บๆ เจ็บม้ากกเลย" แต่พอพี่โนพี่โน่ตามมาเล่นด้วยก็เริ่มสนุกบ้าง แต่ก็ยังไม่เต็มที่เหมือนครั้งก่อนๆ ไม่ยอมวิ่งแข่งกับปะป๊าด้วย วันนี้ปะป๊าชวนเด็กจิ๋วหาเปลือกหอยมาประดับเจดีย์ทรายกัน เด็กจิ๋วกำลังหยิบเปลือกหอยอันหนึ่งวางแปะเจดีย์ทราย อยู่ดีๆมันก็มีอะไรยื่นออกมา เด็กจิ๋วรีบโยนทิ้ง ตกใจกลัว มันคือปูเสฉวนนั่นเอง เด็กจิ๋วเวลาเจอแบบนี้แล้วขี้กลัวมาก หลังจากนั้นก็ไม่เล่นเปลือกหอยอีกเลย

อาหารเช้าที่นี่ไม่ค่อยชอบเท่า ไหร่ เบค่อนก็ไม่มี ของอย่างอื่นก็ไม่อร่อย เด็กๆกินกับปั๊บเดียวก็พากันไปวิ่งเล่น คือปล่อยให้วิ่งเล่นกันเองในสนามหญ้าใกล้ๆห้องอาหาร เล่นกันนานเลย คุณแม่เดินไปตาม เห็เด็กจิ๋วแก้มแดงๆบวมด้วย รีบพากลับมาทายา พยายามถามว่าเด็กจิ๋วไปโดนอะไรกัดมา เด็กจิ๋วก็ตอบไม่ได้ เล่าแต่ว่า "ตัวมันบินๆมา พริมก็ไล่ไป อย่ามากัดพริม แต่มันก็ไม่เชื่อ กัดเลย" คือไม่รู้ว่าตัวอะไรบินมากัด ไม่ใช่ยุง คาดว่าจะเป็นผึ้ง แต่บีบดูก็ไม่เห็นเหล็กใน หรืออาจเป็นแมลงอื่นๆ มีโดนกัดสองจุดที่แก้ม บวมอยู่สักพักก็ดีขึ้น

ขากลับ เราแวะซานโตรินี่กัน แดดร้อนมากกกกๆ คนก็เยอะ ตอนแรกไปถึงแล้วคุณแม่ถอดใจจะไม่ยอมเข้า แต่เด็กๆหิวกันแล้วเลยเข้าไปหาอะไรกินกัน หลังจากกินเสร็จ พี่โนพี่โน่ก็ไปเล่นชิงช้าสวรรค์ คือชิงช้าสวรรค์นี้เป็นอะไรที่เด็กจิ๋วใฝ่ฝันอยากจะเล่นมานานมากแล้ว เห็นจากรูปที่โน่นที่นี่ เราก็ไม่อยากให้เด็กจิ๋วขึ้น เพราะมันร้อน แล้วสูงด้วย เด็กจิ๋วขึ้นไปต้องกรี๊ดแน่ๆ แล้วถ้าไปกรี๊ดอยู่บนโน้นแล้วจะทำไง ก็พยายามหาทางใหญ่เลยว่าพี่เค้าไม่ให้เด็กขึ้นอย่างงั้นอย่างงี้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ถามเด็กจิ๋วว่าอยากขึ้นไม๊ เด็กจิ๋วดันไม่กล้าขึ้นซะเนี่ยะ บอกว่าหนูกลัว มันสูงมาก เออ ดีแล้ว แต่เสร็จจากชิงช้าสวรรค์ก็ชวนกันไปเล่นม้าหมุนต่อ เคยแต่เล่นม้าหมุนหลอกเด็ก อันนี้เป็นม้าหมุนแบบในสวนสนุก อันใหญ่มาก ขึ้นไปได้หลายสิบคน เด็กจิ๋วขึ้นขี่ม้าแล้วก็เกาะแน่น หน้านิ่ง กลัว ตามเคย เป็นแบบนี้ทุกที

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เด็กจิ๋ว@Swiss Sheep Farm&Veranda, HuaHin

เด็กจิ๋วไปหัวหินเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนแล้ว คราวนี้แวะเที่ยวดูแกะกันก่อนที่ Swiss Sheep Farm เพิ่งเปิดใหม่ได้เดือนกว่าๆมานี่เอง ข้างในก็ทำเป็นฟาร์มให้คนเข้าไปให้อาหารแกะ ทำเหมือนแถวสวนผึ้ง เหมือนทั้งดีไซน์การตกแต่งด้วย เพิ่งรู้ว่าเจ้าของเดียวกับ Swiss Valley

เราไปถึงกัน ๙ โมง เค้าเพิ่งเปิดพอดี ขนาดตอนเช้าอย่างนี้แดดก็เริ่มร้อนแล้ว ยิ่งสิบโมง สิบเอ็ดโมง แดดร้อนแบบว่าเกือบเป็นลม ต้องหาที่ร่มหลบแดดเป็นพักๆ เวลาออกแดดก็รู้สึกผิวหนังเปรี้ยะๆเหมือนกำลังถูกไฟเผา ถามคนที่กรุงเทพ เค้าก็บอกว่าวันนี้แดดร้อนเหมือนกัน สงสัยเป็นวันที่ร้อนพิเศษ

เด็กจิ๋วตั้งแต่เริ่มเข้าไปเที่ยวก็ทำหน้านิ่งๆ ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเช้าหรือเพราะแดดร้อน คืออยากเล่นโน่นเล่นนี่หมดเลยนะ แต่พอเข้าไปเล่นแล้วก็ทำหน้านิ่งๆ ตลกมาก เริ่มตั้งแต่การให้อาหารแกะ คุณแม่ไม่กล้าเข้าไป ปะป๊าเลยอุ้มเด็กจิ๋วเข้าไปกันสองคน ถือหญ้าไปป้อนแกะ เด็กจิ๋วอยากป้อนเองมาก แย่งหญ้าจากปะป๊าไปถือ แต่พอแกะเข้ามาใกล้เท่านั้นแหล่ะ ก็ปีนขึ้นมาแทบจะมาอยู่บนหัวปะป๊าแล้ว ต่อด้วยไปขับรถกัน เป็นรถโบราณวิ่งอยู่ในราง เด็กแค่ขึ้นไปนั่งแล้วจับพวงมาลัยเล่นเฉยๆ ตามด้วยม้าหมุน อันนี้เล่นไปสามรอบ ชอบมากไม่ยอมเลิก ตามด้วยรถไฟจิ๋ว คันเล็กมากแบบหลอกเด็กสุดๆ แต่เด็กจิ๋วนั่งไม่ครบเวลาเพราะกลัว คุณแม่บอกว่ามันดังแล้วก็กระแทกด้วย สุดท้ายไปนั่งขับหุ่นยนต์เล่นอีกรอบหนึ่ง

ออกจากฟาร์มขับรถต่อไปอีกสิบกว่าโลเองก็ถึงร้านป้าสังเวียน ส่วนรีสอร์ทที่เราจะไปก็อยู่ถัดจากป้าสังเวียนไปโลสองโลเอง

ร้านป้าสังเวียนครั้งก่อนเคยมากินแล้วไม่ชอบ แต่วันนี้ชอบมาก สั่งอะไรมาอร่อยทุกอย่าง สังเพิ่มสำหรับแอบเอาเข้าไปกินในรีสอร์ทตอนเย็นด้วย

ที่วีรันด้านี่ พี่โนกับพี่โน่ชอบมาก มากันสามครั้งแล้ว มีครั้งหนึ่งเคยชวนเด็กจิ๋วมาด้วยแต่เด็กจิ๋วเบี้ยว พอมาเองถึงเพิ่งรู้ว่าส่วนสระว่ายน้ำที่นี่ดีมาก คือกว้าง แล้วก็มีมุมให้เล่นหลายมุม มีส่วนตื้นเยอะดีด้วย เด็กจิ๋วสามารถเดินเล่นไปมาได้หนุกหนาน มีสไลเดอร์ด้วย เด็กจิ๋วยังเล่นไม่ได้หรอก เห็นพี่ๆเค้าเล่นกันแล้วอยากบ้าง เราเลยจับไปนั่งที่ปลายสไลเดอร์แล้วให้ไหลตกมาหน่อยเดียว แค่นี้ก็สนุกมากๆแล้ว เล่นอยู่หลายรอบ

ข้อเสียของที่นี่คือตัวห้อง พัก ค่อนข้างเก่า โซฟาก็มีคราบเลอะเป็นหย่อมๆ ผ้าก็เหม็นอับนิดๆ แต่อุปกรณ์ต่างๆก็ยังใช้การได้ดี น้ำแรงดี จากตัวห้องเปิดออกไปมีระเบียงนั่งเล่น แล้วต่อเลยออกไปเป็นสนามหญ้า ถ้าเลี้ยวขวาไปหน่อยก็ถึงสระว่ายน้ำ คือห้องที่ได้นี่ก็ถือว่าตำแหน่งโอเคเลย อยู่ชั้นล่างแล้วก็ใกล้สระว่ายน้ำ

คราวนี้เราเข้าที่พัก แล้วกะจะให้เด็กจิ๋วนอนกลางวัน แต่ไม่สำเร็จอีกแล้ว ไปนอนรวดเดียวตอนสองทุ่มเลย พอเด็กจิ๋วหลับแล้ว ปะป๊ากับคุณแม่ถึงเอาอาหารออกมากินกัน สงสัยต้องใช้แผนนี้ทุกครั้งไป คือการจะให้เด็กจิ๋วหลับกลางวันเวลาออกไปเที่ยวแบบนี้เป็นเรื่องยากมาก แล้วเด็กจิ๋วต้องมาหลับเอาหัวค่ำ จะออกไปกินกันข้างนอกก็ไม่ได้

อาหาร เช้าที่นี่ดีมาก มีโจ๊กกับปาท่องโก๋ที่อร่อยมาก ส่วนอาหารฝรั่งก็เหมือนทั่วๆไป ปะป๊าไปติดใจหนมปัง รู้สึกว่ากรอบอร่อยกว่าที่อื่นๆ กินเข้าไปเยอะมาก

ประมาณเดือนที่ ผ่านมา เด็กจิ๋วเริ่มใส่เสื้อกับกางเกงเองได้แล้ว อย่างเสื้อเนี่ยะต้องใส่หัวให้ก่อน แล้วให้เด็กจิ๋วสอดแขนเอง ส่วนกางเกงนี่เด็กจิ๋วสามารถใส่ขาสองข้างได้ แต่ยังไม่สามารถใส่ขึ้นมาถึงก้นได้เอง แล้วที่ไปเที่ยวนี้อยู่ดีๆก็คิดค้นการใส่รองเท้าเองได้ฮามาก เป็นรองเท้าแตะของ Crocs มีสายรัดที่ส้น ปะป๊ากำลังจะใส่ให้ เด็กจิ๋วไม่ยอม คว้าไปใส่เอง จับไปวางชนกำแพงไว้ เอาเท้าสวมลงไปแล้วก็เตะกับกำแพง เตะอัดเข้าไปเรื่อยๆจนใส่รัดส้นรัดเข้าเอง วิธีนี้คิดได้ไงเนี่ยะ

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

@ทุ่งดอกกระเจียว ชัยภูมิ

สวัสดีค่ะ รีวิวนี้ขอลัดคิวรีวิวอื่นๆที่ดองๆเอาไว้มาฝากเพื่อนๆก่อนเลยนะคะ
เนื่องจากว่าตอนนี้กำลังเป็นช่วงดอกกระเจียวบาน เด็กจิ๋วเลยอยากรีบเอาภาพมาฝาก 
เผื่อว่าใครจะไปในสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ จะได้มีข้อมูล ไม่มากก็น้อยนะคะ
ช่วงนี้เห็นรีวิวทุ่งดอกกระเจียวหลายอันเหมือนกัน อย่าเพิ่งเบื่อกันซะก่อนนะคะ
ทริปนี้เด็กจิ๋วไม่ได้ไปนอนค้างที่ชัยภูมินะคะ เราออกเดินทางจากกรุงเทพคืนวันศุกร์ (ตี 1) ไปถึงอุทยานฯไทรทองตอนตี 5
เราเที่ยวที่อุทยานฯ ไทรทอง และอุทยานฯป่าหินงาม แวะกินข้าวที่ปากช่อง กลับมาถึงบ้าน 5 โมงเย็นวันเสาร์ค่ะ
จุดหมายแรกของเราคือที่ อุทยานแห่งชาติไทรทอง อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ อยู่ห่างจากบ้านเราประมาณ 300 กิโลนิดๆ 
เราออกจากบ้านตอนตี 1 ไปถึงที่ทำการอุทยานฯ ประมาณตี 5 
เสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานเสร็จแล้ว ก็เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา แล้วก็ไปซื้อตั๋วรถเพื่อขึ้นไปยังจุดเดินเท้าด้านบน เราจะได้แผนที่หน้าตาแบบในภาพมาหนึ่งอัน
ความจริงถ้าเพื่อนๆเอารถกระบะ หรือรถที่สูงหน่อยไป สามารถขับขึ้นไปได้เองเลยนะคะ 
คือทางขึ้นไปจุดเริ่มเดินเท้า มันจะมีจุดนึงต้องขับข้ามลำธารน้ำค่ะ ถ้ามั่นใจในรถ ก็ขับเองได้ค่ะ
ส่วนพวกเราเลือกใช้บริการรถกระบะของอุทยานฯดีกว่าค่ะ ปะป๊าหวงรถง่ะ
ค่ารถก็คนละ 60 บาทไปกลับ รถเต็มเมื่อไหร่ก็ออก 
คณะเรามีกัน 4 คนรวมเด็กจิ๋วด้วย รอผู้ร่วมเดินทางคนอื่นอยู่พักนึง ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมา 
ปะป๊ากลัวหมอกยามเช้าจะหมดซะก่อน เราเลยจำต้องซื้อตั๋วรถอีก 4 ใบ เท่ากับ 8 คนเป็นการเหมารถขึ้นไปเฉพาะคณะเรา ไม่ต้องรอใคร
จากแผนที่ด้านบน จุดที่รถกระบะปล่อยเราลง จะอยู่แถวๆผาพ่อเมือง
ตรงนี้เห็นมีคนกางเต้นท์อยู่หลายเต้นท์เหมือนกันค่ะ 
เราว่ากางตรงนี้น่าจะสะดวกดี เพราะรถเข้าถึง ถ้ากางอีกจุดตรงทุ่ง 1 ต้องเดินหอบข้าวของเข้าไปเอง เหนื่อยอ่ะค่ะ 
เราเริ่มเดินเท้าเลาะไปตามหน้าผา ขาไปไม่ได้ถ่ายรูปวิวตรงหน้าผาเลยเพราะหมอกหนามาก มองไม่เห็นอะไร
รูปหน้าผานี้ถ่ายตอนเดินกลับลงมาค่ะ
เราเดินสวนกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เค้าบอกเราว่าทุ่ง 1 สวยที่สุด กำลังบาน สวยมาก
เราเลยตั้งเป้าเดินเข้าทุ่ง 1 ซึ่งอยู่ไกลที่สุดก่อน ระยะทางจากผาhumหดไปก็ 2000 เมตรเอง หุหุ
กว่าจะหอบหิ้วเด็กจิ๋วมาถึงทุ่ง 1 ก็หอบแฮ่กกันเป็นแถวๆ ทั้งป๊า แม่และพี่เลี้ยงเด็กจิ๋ว
แต่พอมาถึงเห็นแบบนี้ก็หายเหนื่อยค่ะ
อากาศเย็นสบาย พระอาทิตย์ยังแอบอยู่หลังเมฆ มีหมอกเย็นๆ เหนือทุ่งดอกไม้
อากาศเย็นสบาย พระอาทิตย์ยังแอบอยู่หลังเมฆ มีหมอกเย็นๆ เหนือทุ่งดอกไม้
ความจริงปะป๊ากับแม่ เคยมาที่ไทรทองนี่กันคนละ 3-4 ครั้งแล้ว 
แต่พอเห็นรูปเพื่อนๆใน BP ปะป๊าก็อยากไปอีก ชวนกันวันพุธ คืนวันศุกร์ออกเดินทางเลย
ปะป๊ากับแม่เคยมากางเต้นท์นอนที่จุดกางเต้นท์ทุ่ง 1 เมื่อ 14 ปีที่แล้ว สมัยเรียนจบใหม่ๆ (นานมากแล้วจริงๆ)
ทุ่งดอกไม้ยังสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ที่เปลี่ยนก็จะมีเรื่องของการจัดการทางเดินที่ดีขึ้น
และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ขึ้นมา
คราวนี้เราเดินทางมาพร้อมเด็กจิ๋วด้วย 
เหนื่อยมากขึ้นเพราะทั้งต้องจูงบ้าง อุ้มบ้าง (อุ้มซะส่วนมาก) กว่าจะมาถึง
แต่เด็กจิ๋วก็ดูมีความสุขดี ได้รู้จักหมอก รู้จักดอกกระเจียว ได้ดูมดเดินกันเป็นฝูงๆ
จากการที่ไปมาทั้งสองที่คือที่ไทรทอง และป่าหินงาม เราพบว่าที่ทุ่ง 1 ไทรทองนี่ เป็นทุ่งดอกกระเจียวที่ใหญ่ที่สุดแล้ว
กำลังบานเต็มที่สวยงามมาก ดูแล้วสดชื่นมากๆ เจ้าหน้าที่บอกว่าดอกจะยังอยู่จนปลายสิงหาเลย
และถ้าเป็นช่วงสุดสัปดาห์หน้า (เสาร์ที่ 14) น่าจะบานเต็มที่กว่านี้ค่ะ
(แต่ที่เคยไปช่วงกลางสิงหา ดอกยังอยู่ก็จริง แต่มันก็เริ่มจะเหี่ยวแล้ว ไม่สวยแบบเดือนกรกฎาค่ะ)
เด็กจิ๋วดูจะสนใจการเดินเหยียบหินมากกว่าทุ่งดอกไม้
ทุ่งดอกกระเจียว หรือบางคนก็เรียกว่าทุ่งดอกบัวสวรรค์
ไปหาใน Google มาเค้าบอกว่า..
ดอกกระเจียว หรือดอกบัวสวรรค์ เป็นพืชวงศ์เดียวกับขิง เป็นไม้ล้มลุกมีเหง้าอยู่ใต้ดิน
ช่วงฤดูหนาวและร้อนเหง้ากระเจียวจะฝังอยู่ใต้ดิน พอหน้าฝนถึงจะแทงหน่อเติบโตออกดอกสวยงาม
ปะป๊าพยายามจะถ่ายรูปเด็กจิ๋วกับทุ่งดอกไม้ แต่ไม่สำเร็จเลย
เด็กจิ๋วไม่ยอมเงยหน้ามองกล้องเลย สนุกกับการเดินบนหินขรุขระมาก
ทางเดินเท้าที่จัดไว้เป็นสัดส่วน จะได้ไม่รุกล้ำเข้าไปในทุ่งดอกไม้
ระหว่างที่เราเดินชมดอกไม้ จะเห็นเจ้าหน้าที่แอบตะคุ่มๆอยู่ตามซอกหินต่างๆ ทีแรกก็งงว่ามานั่งทำไร
ตอนหลังถึงรู้ว่ามาคอยดูแล ไม่ให้นักท่องเที่ยวแอบเดินลงไปในทุ่ง
(เราเห็นที่ป่าหินงาม มีเด็กวิ่งลงไปในทุ่งดอกไม้ เจ้าหน้าที่ที่แอบซุ่มอยู่ จะเป่านกหวีดเสียงดังลั่นเลยค่ะ)
ดีใจที่เห็นการจัดการที่ดีของเจ้าหน้าที่อุทยานฯนะคะ 
พวกเราจะได้มีธรรมชาติสวยๆ แบบนี้เอาไว้ดูนานๆ
เดินชมดอกไม้ เด็กร่าเริง แต่แม่เหนื่อยแฮ่กค่ะ
อยากให้ลูกหนักน้อยกว่านี้ซัก 2-3 โล เฮ้อ...
ลำพังร่างอ้วนๆของแม่ก็จะเอาไม่รอดแล้ว ต้องมาแบกเด็กจิ๋วด้วย สุดยอดอ่ะค่ะ
ที่ทุ่ง 1 เค้าจะจัดทำเป็นทางเดินเข้าไปกลางทุ่ง แล้วล้อมรั้วเอาไว้ เป็นจุดให้เราถ่ายภาพ
เราจะได้รูปทุ่งดอกไม้แบบพานอราม่าล้อมรอบตัวเราเลยค่ะ
ดอกเยอะมากจริงๆ
ตอนแรกแม่ก็ไม่อยากไปที่นี่ เพราะเห็นว่าเด็กจิ๋วยังเล็กเกินไป
บวกกับเดาได้ว่าคนที่จะเหนื่อยมากคือแม่เพราะเด็กจิ๋วจะไม่เอาใครเวลาไปนอกสถานที่แบบนี้
แต่พอไปแล้วก็ดีนะคะ ลูกได้เรียนรู้สิ่งใหม่มากมาย เสียงนกร้อง ผีเสื้อ แมลงแปลกๆ
เราใช้เวลากันที่ทุ่ง 1 นานพอสมควร เดินเล่น นั่งเล่น ถ่ายรูปกันจนจุใจ
จะเห็นว่าบางภาพมีหมอก บางภาพไม่มี เพราะบรรยากาศเปลี่ยนไปเรื่อยๆจริงๆค่ะ
พอพระอาทิตย์ออกจากเมฆ หมอกที่เห็นก็หายวับไปหมด
พอลมพัดเมฆมาบังพระอาทิตย์ หมอกก็ปรากฏขึ้นมาใหม่
ก็เลยรู้ว่าหมอกก็ยังอยู่ตลอดแหละ แต่ถ้าแดดออกจะมองไม่เห็นเท่านั้นเอง
ความจริงตัวดอกกระเจียวจะเป็นดอกสีม่วงเล็กๆนะคะ
กลีบสีชมพูอมม่วงไม่ใช่กลีบดอก แต่เค้าเรียกว่ากาบดอกอ่ะค่ะ
(ข้อมูลจาก wiki ค่ะ)

บางคนบอกว่าดอกกระเจียวกินได้ แต่เราไม่แน่ใจว่าพันธุ์ที่เห็นนี้จะกินได้มั้ย เพราะมันเป็นกระเจียวป่า 
ลองค้นๆรูปใน google ดูมีพันธุ์ที่กินได้ แต่หน้าตาไม่เหมือนแบบนี้
หลังจากอยู่ถ่ายรูปกันที่ทุ่ง 1 จนหนำใจแล้ว ก็เดินต่อไปที่ทุ่ง 2 ซึ่งต้องเดินย้อนไปอีกประมาณ 700 เมตร
ความจริงขาไปทุ่ง 1 ก็เดินผ่านนะคะ หมอกกำลังลงสวยมากๆเลย แต่เราไม่ได้แวะ
พอกลับมาที่ทุ่ง 2 แดดก็ออกแล้ว หมอกหายหมด เสียดายค่ะ
Wikipedia บอกว่าดอกนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ปทุมา หรือ ทิวลิปสยาม ด้วยค่ะ
ทุ่งทิวลิปสยาม สวยงามไม่แพ้ทุ่งทิวลิปฮอลแลนด์เลยนะคะ
สมัย 14 ปีที่แล้วที่แม่ได้มาเที่ยวที่นี่ ตอนนั้นทุ่งดอกกระเจียวยังไม่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายอย่างปัจจุบัน
จำได้ว่าตื่นเต้นมากที่ได้เห็น เพราะไม่เคยเห็นดอกแบบนี้มาก่อน แต่ในปัจจุบันเห็นมีปลูกทั่วไปในกรุงเทพค่ะ
ทางเดินชมทุ่งดอกไม้ที่นี่ก็นับว่าไม่ได้ลำบากมาก 
ถึงแม้ระยะทางไกลซักหน่อย แต่ทางเดินก็เป็นทางราบซะส่วนมาก มีทางขึ้นลงเนินเพียงเล็กน้อย
ยิ่งถ้าร่างกายแข็งแรง เดินดูดอกไม้ไป ถ่ายรูปไป อากาศสบายๆ ไม่น่าจะรู้สึกเหนื่อยซักเท่าไหร่ด้วยซ้ำ
เราต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ภาพหลังๆไม่สามารถแยกภาพทุ่ง 1 กับ 2 ได้
ดอกมันก็เหมือนๆกันหมดเลยค่ะ
จบจากทุ่ง 2 เราก็มุ่งหน้าไปที่ทุ่ง 4 ระยะทางไกลกันพอควร (ประมาณ 700 เมตร)
ช่วงนี้เอง ที่เด็กจิ๋วเป็นไรไม่รู้ ไม่ยอมลงเดินเองเลย และไม่ให้ใครอุ้มนอกจากแม่
ดอกกระเจียวขาวจะมีขนาดดอกที่เล็กกว่าสีชมพูมาก มองไกลๆ เราว่าไม่ค่อยสวยค่ะ
มันดูเหมือนเศษกระดาษตกอยู่ที่พื้นหญ้ามากกว่า
ทุ่งดอกขาวก็จะไม่ใหญ่มากค่ะ ไม่ค่อยตื่นตาเหมือนสีชมพู
นอกจากดอกกระเจียวแล้ว ก็ยังมีดอกไม้ป่าอื่นๆ บานให้ชมกันด้วย
ไม่รู้ว่าชื่อดอกอะไรกันมั่งนะคะ
เราเดินชมทุ่งเบ็ดเสร็จ วนกลับมาที่จุดขึ้นรถใกล้ๆผาพ่อเมืองยังไม่ 9 โมงเช้าเลยค่ะ
เด็กจิ๋วบอกว่าหิวมาก อยากกินข้าวไข่เจียว เลยแวะทานข้าวเช้ากันที่ร้านค้าตรงนั้น ก่อนนั่งรถลงมาที่ทำการฯค่ะ
ออกจากอุทยานแห่งชาติไทรทอง ก็ไปต่อกันที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงามที่อำเภอเทพสถิต
ใช้เวลาขับรถไปราวๆ 1 ชั่วโมงได้ วันนั้นเราโชคดีมากที่ไม่เจอฝนเลย ช่วงบ่ายแดดแรงอีกต่างหาก
ทันทีที่เราขับรถมาถึงบริเวณอุทยานฯป่าหินงาม ก็งงมากๆ
เพราะสภาพไม่เหมือนอุทยานแห่งชาติทั่วๆไปที่เคยไป
ผู้คนมากมาย รถที่จอดก็มากมายเต็มลาน แน่นไปหมด
เหมือนมางานตลาดนัดยังไงยังงั้น ไม่เหมือนอุทยานแห่งชาติแม้แต่น้อย
พอจอดรถแล้วเดินเข้าไปก็พบว่าการจัดการของอุทยานที่นี่ก็ดีมาก
มีการจัดรถรางนำเที่ยวจากด้านหน้า จอดแวะตามจุดต่างๆ 
มีการจัดการทางเดินอย่างดี ทำให้ไม่เข้าไปรบกวนธรรมชาติ
ฉะนั้นถึงแม้คนจะเยอะมาก แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการชมดอกไม้แต่อย่างใด
ค่าเข้าอุทยานที่นี่เราไม่ต้องเสีย เพราะเอาตั๋วที่เราเสียมาจากที่ไทรทองมาโชว์ ใช้ด้วยกันได้
แต่ต้องเสียค่ารถรางคนละ 20 บาท 
จุดแรกที่แวะให้ลงคือ ผาสุดแผ่นดิน จุดนี้เราไม่ได้ลง เพราะเด็กจิ๋วไม่พร้อมเป็นอย่างยิ่ง
จุดที่สองเป็นจุดทุ่งดอกกระเจียว เราลงกันที่จุดนี้ ซึ่งจะมีลักษณะเป็นเนิน มีดอกกระเจียวขึ้นอยู่แน่นมาก
ทางอุทยานฯทำทางเดินให้ชมดอกไม้อย่างเป็นสัดส่วน และมีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังตามจุดต่างๆ
ทันทีที่มีใครย่างกรายเกินเขตทางเดินเข้าไปในทุ่งดอกไม้ เจ้าหน้าที่จะเป่านกหวีดเตือนเสียงดันลั่นค่ะ
แต่ข้อเสียอย่างนึงของทางเดินที่ดูเหมือนเพิ่งทำขึ้นมาใหม่นี้คือ มันแคบมากค่ะ เดินสวนกันแทบจะไม่ได้
เวลาคนเยอะๆ ถ้ามีใครหยุดถ่ายรูป คนก็จะติดเดินไม่ได้ต้องหยุดกันหมดเลย ดีไม่ดีก็อาจจะโดนชนล้มได้ 
เราเห็นมีผู้หญิงคนนึงกำลังโก้งโค้งถ่ายรูปให้เพื่อน โดนคนเดินมาชน เกือบล้มเลย ดีที่พี่เลี้ยงพริมช่วยจับไว้ ไม่งั้นตกลงไปแน่ๆ
ตอนเราเดินขึ้นไปก็งงเล็กน้อยว่า ทำไมมีแต่เราที่เดินสวนขึ้นไป คนส่วนมากจะเดินลงมาจากเนินด้านบน
ตอนหลังเพิ่งรู้ว่าเค้าเดินมาจากผาสุดแผ่นดินกัน แต่ระยะทางก็ไกลพอควรหละนะ ดีแล้วที่ไม่ได้ไป
เพราะนาทีนั้น ร้อน เหนื่อย และหนักมาก
ทุ่งดอกกระเจียวที่นี่มีขนาดเล็กกว่าทุ่ง 1 ที่ไทรทอง แต่ความหนาแน่นของดอกมากกว่า
เรียกได้ว่าขึ้นแน่นไปหมด ถ้ามาเช้าๆ มีหมอก จะสวยมากๆ (ดูรูปได้จากกระทู้คุณชานมฯค่ะ)
ดูเหมือนว่าดอกที่นี่จะเหี่ยวกว่าที่ไทรทอง เพราะเค้าจะเริ่มบานก่อนที่ไทรทอง
ถ้าใครจะไปที่นี่ น่าจะต้องรีบซักหน่อยนะคะ ถ้าไปช่วงสิงหา ดอกอาจจะดำเยอะแล้วค่ะ
สำหรับที่อุทยานฯป่าหินงามนี้ เราแวะกันจุดเดียวเท่านั้น คือจุดทุ่งดอกกระเจียว
จุดป่าหินงามก็ไม่ได้ลง เพราะรู้มาว่าเดินยากพอสมควร เด็กจิ๋วก็งอแงมากทีเดียว
เนื่องจากตอนเราเดินเที่ยวที่นี่ เป็นช่วงบ่ายต้นๆ แดดแรงพอควร
แต่ลมก็พัดเย็นสบายดี กลับบ้านมาหน้าไหม้กันถ้วนหน้า
หลายดอกเริ่มดำแล้ว
แต่โดยรวมก็ยังดูสวยงามเปล่งปลั่งอยู่
ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างทั้งสองที่ก็จะสรุปได้ดังนี้ค่ะ
อุทยานแห่งชาติไทรทอง: ระยะทาง (จากกรุงเทพฯ) ไกลกว่า เดินเท้าไกลกว่า แต่มีความเป็นธรรมชาติมากกว่า คนน้อยกว่ามาก ทุ่งใหญ่กว่ามาก
อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม: ระยะทาง (จากกรุงเทพฯ) ใกล้กว่า(นิดนึง) เดินทางไปง่าย เดินเท้าไม่มาก คนเยอะกว่ามากกกกก ทุ่งเล็กกว่า แต่ดอกแน่นมากๆ ดอกเริ่มบานก่อนที่ไทรทอง เลยเริ่มเหี่ยวก่อน
สรุปว่าชอบทั้งสองที่ค่ะ มีดีทั้งสองที่ ถ้ามีเวลาก็ไปทั้งสองที่เลยนะคะ
จบจากที่ป่าหินงาม เราขับกลับทางปากช่อง โคราช เพราะจะแวะหม่ำมื้อบ่ายกันที่ Smoke House 
แล้วก็แวะซื้อน้ำข้าวโพดของโปรดเด็กจิ๋วที่ไร่สุวรรณด้วย
กลับมาถึงบ้านประมาณ 5 โมงเย็นค่ะ
เด็กจิ๋วขอบ้ายบายไปก่อนนะคะ รีวิวต่อไปน่าจะเป็นสิรารัญ ประจวบฯแน่นอนค่ะ
แล้วเจอกันนะคะ