วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

3 ขวบ 11 เดือน



๓ ขวบ + ๓๓๕ วัน...อาทิตย์ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๖
...วันนี้ทำแบบฝึกหัดเรื่อง sequence ต่อ จากที่ยากๆ วันนี้ดูเหมือนเด็กจิ๋วจะเข้าใจมากขึ้น ทำได้ดีขึ้น แค่สองวันเอง รู้สึกเก่งมาก คืออะไรที่ว่ายากๆ แต่เอาเข้าจริงๆก็ทำพอได้หมดแหล่ะ ตอนนี้เริ่มสงสัยตัวเองว่า ตอนแรกกะว่าจะยังไม่อัด เก็บแบบฝึกหัดชุดนี้ไปก่อนเพราะยากไป แต่ปะป๊าคันไม้คันมืออยากสอน เลยงัดมาให้ลองทำ ทำไปทำมา ฝึกให้ทำทุกวันเลย หนักเกินไปไม๊ ก็มั่นใจว่าไม่หนักเกินไปสำหรับเด็กจิ๋วเพราะระหว่างทำก็ลั้นลามีความสุขกันดี แต่เริ่มคิดว่า ฝึกกันเร็วเกินไป กว่าจะถึงวันสอบอีก 2 ปี จะลืมไปหมดแล้วหรือเปล่า จะสอนเสียเที่ยวหรือไม่???
...ตอนบ่ายไปหาหมอกัน 3 คน เด็กจิ๋วหายแล้วคนเดียว ได้ใบรับรองแพทย์มา วันจันทร์ไปโรงเรียนได้แล้ว มีแค่รอยแดงๆที่ตาเล็กน้อยแบบว่าเส้นเลือดฝอยแตก ส่วนปะป๊ากับคุณแม่ยังอีกเป็นอาทิตย์ อาการปะป๊าหนักสุด กระจกตาเป็นแผล ของคุณแม่เบากว่าเพราะกระจกตาหายแล้ว แต่อาการคุณแม่น่ารำคาญมากกว่าเพราะมีอาการคันและน้ำตาไหลทั้งวัน หมอบอกว่าอาทิตย์หนึ่งหายแล้วก็ยังไม่สนิทนะ จะยังแดงๆไปอีกอาทิตย์หนึ่ง
...เสร็จจากหาหมอก็ไปเรียนเปียโนกันต่อ เราเลื่อนจากวันศุกร์มาซ่อมวันอาทิตย์เพราะถ้าไม่เลื่่อนมาแล้วยกเลิกไปเลย จะทำได้แค่ 2 ครั้ง ทำมาแล้วครั้งหนึ่ง แล้วเดียวอีกครั้งจะเก็บไว้ตอนไปออสเตียเลีย วันนี้เลยต้องดั้นด้นกันไปเรียนซ่อมซึ่งครูหวานไม่มาด้วย ได้ครูไหมเป็นเด็กๆเหมือนกัน ปรากฎว่าเด็กจิ๋วชอบมาก เด็กจิ๋วสนิทกับครูไหมเร็วมาก เรียนไปตีมือกันไป เรียนเสร็จครูก็ชมนะว่าตั้งใจเรียน จำโน๊ตได้ มีปัญหาเรื่องจังหวะ แล้วก็พูดชัดมาก ไม่เคยเห็นเด็กอายุเท่านี้พูดชัดแบบนี้มาก่อน เราฟังก็ดีใจนะ แต่อยากให้ชมว่าเล่นเปียโนเก่งมากกว่านะ กลับออกมาลองถามเด็กจิ๋วว่าชอบครุ
ไหมไม๊ เด็กจิ๋วบอกว่าชอบ ถ้างั้นเปลี่ยนจากครูหวานมาเป็นครูไหนไม๊ เด็กจิ๋วก็บอกว่าเอา แต่หลังจากนั้นเริ่มไม่แน่ใจเด็กจิ๋ว ลองถามใหม่ว่า เปลี่ยนครูหมายถึงต่อไปไม่ได้เจอครูหวานแล้วนะ เรียนกับครูไหมแทน จะเอาไม๊ เด็กจิ๋วบอกว่า ไม่เอา จะเรียนกับครูหวาน อ๊ะ งง เอาเป็นว่าไม่ต้องเปลี่ยนแล้วกันยุ่งยาก

๓ ขวบ + ๓๓๖ วัน...จันทร์ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๖
...เช้านี้ต้องไปโรงเรียนหลังจากที่ไม่ได้ไปมาอาทิตย์กว่าแล้ว จากที่นอนตื่นเที่ยงกว่า วันนี้ต้องตื่น 7 โมง เด็กจิ๋วก็ดีเกินคาด ไม่งอแงเลย ตื่นมาก็ยิ้มๆ ยอมแต่งตัวแต่โดยดี ตอนไปส่งที่โรงเรียน เราให้อี๊ป้อมเป็นคนเดินเข้าไปส่งเด็กจิ๋วที่ห้อง  เพราะถ้าปะป๊ากับคุณแม่เดินเข้าโรงเรียนไป คนต้องแตกตื่นกันแน่ ตอนแรกก็คิดว่าเด็กจิ๋วต้องงอแงแน่นอนที่ไม่เข้าไปส่งด้วยตัวเอง แต่เอาเข้าจริงก็ลั้นลาสนุกสนาน คือตื่นเต้นที่อี๊ป้อมมาส่ง ไม่สนใจพ่อแม่เลย ยังบอกอีกว่าวันหลังให้อี๊ป้อมมาส่งอีกนะ
...ตอนเลิกเรียน ฝากให้น้าปอยไปรับเด็กจิ๋ว แล้วพาไปเรียนที่ Helen เลย เรียนเสร็จเราก็ไปรอรับหน้าลิฟท์แล้วกลับบ้าน รู้สึกเกรงใจน้าปอยเหมือนกันนะ แต่คิดว่าเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว สำหรับเด็กจิ๋วไม่ต้องห่วยเลย สนุกสนานกับอะไรที่แปลกใหม่อยู่แล้ว มีน้าปอยมารับ นั่งรถไปกับอั๊งแบบนี้ชอบมาก มาบอกปะป๊ากับคุณแม่ด้วยว่าพรุ่งนี้ให้น้าปอยมารับอีกนะ
...ช่วงที่เด็กจิ๋วหยุดเรียนไปเป็นช่วงที่เพื่อนๆเค้าสอบกัน วันนี้เลยถามเด็กจิ๋วว่าได้สอบแล้วยัง เด็กจิ๋วก็บอกว่าสอบแล้ว สอบกับครูขวัญ ไม่รู้เชื่อได้ไม๊ ปกติน่าจะสอบกับครูแหววไม่ใช่เหรอ แล้วยังบอกอีกนะว่า ครูขวัญชมว่าเก่งมากลูกสาว ทำได้หมดเลย พยายามถามอยู่หลายที ว่าสอบกี่วิชา กี่หน้า มีเพื่อนคนอื่นมาสอบด้วยไม๊ ไม่ได้คำตอบ บางทีก็เหมือนตอบแบบแกล้งๆ เหมือนเห็นว่าเราอยากรู้ก็ยิ่งแกล้งหนักเลย
...วันนี้ให้ทำแบบฝึกหัดหัวข้อใหม่ เป็นภาพวงกลมแล้วมีของอยู่ข้างในเรียงกันเป็นชิ้นเค้ก ให้หาว่าภาพไหนที่หายไป คือมันต้องดูความสมดุลย์ในวงกลมนั้น วิธีดูก็ง่ายๆคือดูภาพที่อยู่ตรงข้ามกันให้มันเหมือนกัน มันก็จะสมดุลย์แล้ว แต่วันนี้ปะป๊าคิดค้นวิธีฝึกฝนแบบใหม่ คือปะป๊าใช้ทฤษฎีว่าถ้าเด็กสามารถคิดหาวิธีการทำโจทย์ได้เอง เด็กก็จะสามารถจำได้แม่น แล้วยังสามารถพลิกแพลงได้ต่อไปอีก น่าจะดีกว่าการสอนทริคให้ดูแบบนั้น ดูแบบนี้ เพราะบางทีมันไม่แน่ชัดเสมอไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทย์พวก IQ แบบนี้ ว่าแล้วก็ลองซะหน่อย บอกเด็กจิ๋วว่า เด็กจิ๋วดูภาพวงกลมนี่นะ ภาพมันหายไปภาพหนึ่ง เราจะเติมภาพไหนดี ที่จะทำให้วงกลมนี้มันสวยงามอล่างฉ่าง (คือเป็นคำที่ชอบใช้กันพ่อลูก จะใช้คำว่าสมดุลย์ก็ไม่รู้จัก) แค่นั้นแหล่ะ คือไม่สอนอะไรทั้งสิ้น ให้เด็กจิ๋วคิดเองทำเองเลย เด็กจิ๋วดูๆแล้วก็ตอบได้ถูกต้องอีก อันนี้ขนลุกอีกแล้ว เด็กอัจฉริยะจริงๆ ขั้นเทพคารวะเลยเชียว

๓ ขวบ + ๓๓๗ วัน...อังคาร ๓ ธันวาคม ๒๕๕๖
...เมื่อวานเด็กจิ๋วยังอารมณ์ดีตอนเช้าอยู่เลย วันนี้อาละวาดตั้งแต่ตื่นนอน ปะป๊าอุ้มก็ไม่เอาให้คุณแม่อุ้ม ปะป๊าก็ลั้นลามาเล่นเบบี๋น้อยด้วย เด็กจิ๋งอารมณ์หงุดหงิดอยู่ ถีบขาไปมาแล้วมาโดนหน้าปะป๊าแบบไม่ตั้งใจ แว่นตากระเด็นไปเลย ปะป๊าเลยโกรธ ตอนนั่งรถไปส่งที่โรงเรียนก็ยังโกรธกันอยู่ เด็กจิ๋วนั่งน่าจ๋อยตลอดทาง พอไปถึงลานจอดรถต้องให้อี๊ป้อมพาเข้าไปส่งอีก คราวนี้ร้องไห้โฮ มีแม่ๆเพื่อนอยู่แถวนั้นด้วย ปะป๊าเลยต้องจำใจยอมคืนดีด้วย บอกว่าให้ตั้งใจเรียนเป็นเด็กดีแล้วปะป๊าจะหายโกรธ แล้วก็ให้อี๊ป้อมพาอุ้มไปทั้งน้ำตา อี๊ป้อมบอกว่าตอนไปส่งเข้าห้องยังร้องอยู่เลย ครูมาอุ้มพาตัวเข้าไป
...ตอนเย็นให้น้าปอยไปรับอีกแล้ว รับเสร็จให้พาไปเรียนศิลปะด้วย ปะป๊ากับคุณแม่ก็แอบตามไปที่บองมาเช่ตอนใกล้จะเสร็จ ตอนแรกปะป๊ากับคุณแม่ก็เครียดๆกันอยู่ สงสารลูก กลัวลูกจะคิดว่าพ่อแม่ทิ้งหรือเปล่า ที่ตอนเช้าบึ้งๆกันอยู่แล้วให้อี๊ป้อมพาเข้าไปส่งที่ห้อง ตอนจากกันเด็กจิ๋วยังร้องฟูมฟายอยู่เลยว่า ปะป๊ากับคุณแม่ต้องมารับนะ ต้องมารับนะ น่าสงสารมาก แต่ตอนเย็นพอเจอกัน ปะป๊าก็ก้มลงหวังว่าเด็กจิ๋วจะวิ่งเข้ามากอด ที่ไหนได้ เด็กจิ๋วไม่สนใจบอกว่า ยังไม่เสร็จ แล้วก็เข้าไปทำงานศิลปะต่อกับเพื่อนๆ คือ เด็กจิ๋วลืมไปแล้วว่าโกรธๆกันอยู่ แล้วเรื่องที่ว่าจะเสียใจไม๊ที่พ่อแม่ไม่ได้ไปรับ อันนี้ก็เลิกคิดเลย น้าปอยบอกว่าร่างเริงกันมาก เด็กๆนั่งรถกันมา 3 คน สนุกสนานมาก
...วันนี้ให้ทำแบบฝึกหัดขั้นเทพคารวะ เป็นช่อง 9 ช่อง หารูปภาพที่หายไปมาเติม อันนี้ปะป๊าใช้วิธีแบบเมื่อวาน คือบอกว่าช่องๆ 9 ช่องนี่เหมือนล็อกเกอร์ที่โรงเรียนเลย แต่ละช่องก็จะมีของเพื่อนๆแต่ละคนอยู่ มีแก้วน้ำเหมือนกัน มีแปรงสีฟันเหมือนกัน อันนี้ให้เด็กจิ๋วลองหาดูสิว่ารูปภาพที่หายไปคือรูปไหน ภาพไหนที่เอามาเติมแล้ว ช่องทั้ง 9 จะสวยงามสมดุลย์ ครั้งนี้เด็กจิ๋วงงตึ้บ ไม่สามารถคิดออกได้เอง เพราะมันยากจริงๆแหล่ะ มันต้องดูแบบวิเคราะห์ ก็เลยต้องสอนวิธีการกัน ทำไปหลายหน้าเลย จนถึงขึ้นเทพสูงสุด เป็นแบบ 2 ภาพในช่องเดียวกัน ต้องดูแบบวิเคราะห์ไปมา ถ้าค่อยๆอธิบาย ถามแล้วให้เด็กจิ๋วตอบ ก็จะสามารถทำได้อยู่ แต่ถ้าให้ดูแล้วตอบเลยยังทำไม่ได้ ซึ่งแบบนี้คิดว่าไม่ใช่ทำไม่เป็นแล้วล่ะ เป็นเรื่องความตั้งใจและสมาธิมากกว่า สรุปคือพอจะได้แต่ยังผิดพลาดเยอะ ต้องดูดีๆจริงๆ แต่ก็รู้สึกดีใจอย่างหนึ่งว่าเด็กจิ๋วฉลาดแกมโกงมา มีข้อหนึ่งเราให้ตอบว่าช้อไหน เด็กจิ๋วไม่ยอมดูโจทย์ ดูตัวเฉลย ก ข ค ง เลย แล้วบอกว่า น่าจะเป็น ก กับ ค เพราะรูปมันคล้ายกัน คือตัวเลือกจะทำแบบว่าข้อที่ถูกจะมีแบบใกล้เคียงกัน 2 ข้อเพื่อหลอกให้เด็กสับสน แต่เด็กจิ๋วดันจับทางได้ มันเหมือนตอนเราเด็กๆเลย พอเวลาจนตรอกคิดไม่ออก ก็เริ่มดูคำตอบแบบนี้แหล่ะ ถ้ามี 2 ข้อที่คล้ายๆกันก็เลือก 1 ใน 2 นี่แหล่ะ น่าจะถูกสักข้อ
...เมื่อวานตอนจะนอนปะป๊าเล่นเบบี๋น้อยแบบเพิ่งคลอด ให้เด็กจิ๋วออกมาเป็นก้อนกลมๆก่อน แล้วค่อยๆหาแขน ขา มือ นิ้ว เท้า จนสดือ เด็กจิ๋วสนุกมาก เล่นไม่เลิก มาวันนี้ขอเล่นต่ออีก

๓ ขวบ + ๓๓๘ วัน...พุธ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๖
...เมื่อวานครูแหววโทรมาบอกว่าลืมชั่งน้ำหนักเขียนใส่สมุดสื่อสารมา เดี๋ยวแก้ไขให้วันหลัง งงเหมือนกัน เรื่องแค่นี้อุตส่าห์โทรมาบอก คุณแม่เลยได้ถามเกี่ยวกับเรื่องสอบว่าตกลงเด็กจิ๋วสอบเสร็จยัง ครูแหววบอกว่าสอบเสร็จแล้ว สอบวันเดียวนั่นแหล่ะ 5 วิชา รู้สึกว่าจะได้เต็มนะคะ ฟังแล้วปะป๊ากับคุณแม่ดีใจกันใหญ่เลย เวลาลูกสอบได้ร้อยเต็มนี่มันช่างสุขใจพ่อแม่จริงๆ วันนี้ปะป๊าเลยบอกว่าจะให้รางวัลสำหรับที่สอบได้ร้อยเต็ม ตอนเย็นไปรับเด็กจิ๋วแล้วไปที่ตลาดหลังการบินไทย ตอนแรกบอกให้เด็กจิ๋วเลือกว่าจะเอารางวัลเป็นที่คาดผมหรือชุดเจ้าหญิง เด็กจิ๋วก็บอกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ยังไม่แน่ใจตัวเอง พอไปถึงเราก็พุ่งตัวเข้าร้านชุดเจ้าหญิงก่อนเลย มีชุด Sofia มาใหม่แต่ไม่ค่อยสวย ปะป๊าไม่ชอบ แต่เด็กจิ๋วเห็นแล้วปิ๊งมาก จะเอาให้ได้ คือที่จริงอยากจะบอกเด็กจิ๋วตรงๆว่ามันมีอีกร้านหนึ่ง ชุดสวยกว่าร้านนี้อีก ไปดูร้านนั้นก่อนดีกว่าไม๊ แต่ไม่รู้จะบอกเด็กจิ๋วยังไงกลัวเจ้าของเสียใจ ได้แต่บอกว่าไม่เอา ไม่ซื้อ เด็กจิ๋วก็ไม่ยอม งอแงจะเอา ปะป๊ารีบวิ่งหนีออกมาก่อนเลย คุณแม่หลอกล่ออยู่พักหนึ่งถึงพาออกมาได้ ไปอีกร้านหนึ่งที่เคยได้ชุดราพันเซลกระโปรงสั้นมา วันนี้ไม่ค่อยมีชุดใหม่ มีแต่ชุดซินเดอเรลล่าเหมือนคราวที่แล้ว เคยเชียร์ให้เด็กจิ๋วเอาแต่วันนั้นไม่ยอม พอวันนี้มาดูใหม่ บอกว่าเอาทันที ถูกใจทั้งปะป๊า คุณแม่ และเด็กจิ๋ว เพราะชุดนี้สวยจริงๆ ใส่น่ารัก ไม่เว่อร์อลังการ ใส่เล่นได้ทุกวัน
...วันนี้ตอนเช้าให้อี๊ป้อมไปส่งที่ห้องเหมือนเดิม ฉากดราม่าที่ลานจอดรถใช้เวลาสิบนาทีได้ เด็กจิ๋วร้องไห้เสียใจ อยากให้ปะป๊ากับคุณแม่ไปส่งข้างใน กล่อมกันอยู่ตั้งนานก็ไม่ยอมลงจากรถ จนปะป๊าบอกว่าจะอุ้มเดินไปส่ง 5 ก้าว ถึงจะยอมลง แล้วก็มากอดปะป๊าแน่นร้องไห้ต่ออีก สะอื้นเสียใจ คุณแม่บอกว่าเห็นแล้วใจสลายเหมือนกัน เพราะเด็กจิ๋วทำแบบว่าจะจากกันไปไม่ได้เห็นหน้ากันอีกแล้วชาตินี้ กอดปะป๊าแน่นแล้วทำมือขยับๆแบบอย่าปล่อยนะ อย่าปล่อยหนูนะ ตอนที่อี๊ป้อมงัดตัวอุ้มเดินจากไป เด็กจิ๋วก็บีบน้ำตาพุ่งกระเด็นปิ๊ดๆ...คือแค่ส่งเข้าห้องเรียน ไม่ได้ไปเรียนต่อเมืองนอกจะ เล่นซะเว่อร์เลย อีป้อมกลับมารายงานว่าตอนอุ้มเดินเข้าไปก็ร้องไห้ แต่พอเจอครูก็เดินจูงมือเข้าห้องไปกับครูเฉยๆ ตลกมาก
...ตอนบ่ายปะป๊าใส่แว่นกันแดดเดินลุยเข้าไปรับเด็กจิ๋วที่ห้อง ก็ระวังตัวไม่ไปจับข้าวของในโรงเรียนทั้งสิ้น แต่ก็กลัวว่าคนอื่นๆเห็นแล้วจะกลัวกัน
...ที่ตลอดหลังการบินไทย เด็กจิ๋วปวดฉี่ พาไปเข้าห้องน้ำแบบเก็บตัง 3 บาท พอเด็กจิ๋วเห็นคุณแม่จ่ายตังก็สงสัย ถามว่า 3 บาท ทั้งฉี่ทั้งอึ๊เลยเหรอ คุณแม่บอกว่าใช่ เด็กจิ๋วถามต่อว่า ทำไมไม่ฉี่ 1 บาท อึ๊ 5 บาทอ่ะ ... โห คิดได้ไงอ่ะ ฟังแล้วขนลุกเลย เด็กอัจฉริยะรู้จักคำนวณค่าความต่างของการอึ๊กับการฉี่ ถึงแม้ว่าห้องน้ำจะใช้จ่ายค่าน้ำไม่ต่างกัน แต่คนที่เข้าไปใช้บริการ มันใช้เวลาต่างกันมากนะ ควรเก็บตังค่าอึ๊มากๆหน่อยจริงด้วย แล้วที่สงสัยมากเลยคือไอ้ 1 กับ 5 เนี่ยะ คิดมาได้ไง บังเอิญมั่ว หรือรู้จักคิดว่าเลข 3 อยู่ระหว่าง 1 กับ 5

๓ ขวบ + ๓๓๙ วัน...พฤหัส ๕ ธันวาคม ๒๕๕๖
...วันนี้เป็นวันพ่อ เมื่อวานเด็กจิ๋วกราบเท้าพ่อไปแล้ว ครูสั่่งมา มีทำการ์ดวันพ่อมาให้ด้วย ครั้งแรกที่เห็นการ์ดของเด็กจิ๋วแล้วก็งงกันใหญ่ เป็นเหมือนรูปดอกไม้ มีก้าน มีใบ แต่ไม่มีดอก แล้วระบายสีสวยงามทั้งภาพ เรื่องไม่มีดอกนี่สืบไปสืบมา ไปเห็นของเมมิ ก็ได้รู้ความจริง ที่จริงมันมีดอกเป็นกระดาษพับๆแล้วติดกาวให้นูนลอยออกมาจากการ์ด แต่ของเด็กจิ๋วไม่มี ถามว่าได้ติดไม๊ มันหล่นหายเหรอ เด็กจิ๋วบอกว่า ครูไม่ให้มา อันนี้งงแล้ว จะเป็นไปได้ไง แต่ไม่เป็นไร ตัวดอกที่ว่าไม่ค่อยสวยหรอก แต่อีกเรื่องหนึ่งก็คือการระบายสี มันเป็นการสลับสีไปมาระบายเป็นริ้วๆสวยงามกระจายทั้งภาพ แบบว่างาน Abstract ชัดๆ สวยมาก สีก็มีการ balance อย่างดี แล้วการระบายก็มีการเฉียงๆออกไปเป็นรัศมีมีจุดศูนย์กลางตรงกลาง ถามเด็กจิ๋วว่าครูบอกให้ทำแบบนี้เหรอ ครูเลือกสีให้เหรอ เด็กจิ๋วบอกว่าเลือกสีเอง ระบายเอง เห็นของเมมิแล้วก็เป็นแบบระบายสีเดียวธรรมดา แสดงว่าเด็กจิ๋วขั้นเทพจริงๆ เก่งสุดขีด
...วันนี้ปะป๊าพาเด็กจิ๋วไปเซนปิ่น พาเด็กจิ๋วพาพ่อไปตัดผมหน่อย แล้วก็ไปดูกีตาร์ด้วย หลังจากเห็นพรสวรรค์ด้านร้องเพลงของเด็กจิ๋วแล้ว ตอนนี้คิดอยากจะตั้งวน ร้องเพลงอัดลง youtube เด็กจิ๋วมีแฟนประจำใน youtube อยู่แล้ว คาดว่าน่าจะรุ่ง เรื่องพรสวรรค์ด้านร้องเพลง ที่จริงแล้วไม่ได้ร้องเพราะหรืออะไรหรอก แต่เราดูแล้วเด็กจิ๋วมีความสามารถในการจดจำเนื้อเพลงมาก แบบว่าจำได้เก่งกว่าที่เราคาด ตอนนี้กำลังฝึกร้องเพลงแอบชอบ เนื้อยากมาก เพราะมีการเล่นคำแปลกๆสลับไปมา ปะป๊ากับคุณแม่ยังมึนเลย เด็กจิ๋วก็พอจะร้องได้บ้างแล้ว นี่เป็นเพลงใหม่ไม่เคยฟังมาก่อนเลยนะ ไม่เหมือนเพลงทะเลสีดำ อันนั้นเด็กจิ๋วบอกว่าได้ยินปูจ๋าร้องที่ห้องภาษาอังกฤษบ่อยๆ
...ตอนอยู่ที่ร้านกีตาร์ เด็กจิ๋วรอนานไปไหน่อย นอนกลิ้งไปกลิ้งมาเกือบจะหลับแล้ว ง่วงนอนมาก ทำให้อาละวาดโน่นนี่ กว่าจะขึ้นรถ กลับมาบ้านก็อาละวาดต่อ วันนี้คุณแม่ระเบิดอารมณ์ใส่เด็กจิ๋วไปหลายรอบ

๓ ขวบ + ๓๔๐ วัน...ศุกร์ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๖
...วันนี้ปะป๊าอุตริจริงๆ บอกเด็กจิ๋วว่าใส่ชุดราพันเซลไปโรงเรียนกันดีกว่า เด็กจิ๋วก็ดีใจใหญ่ ยอมให้ทำผมแต่โดยดี นั่งรถไปก็อารมณ์ดี ตอนเดินเข้าโรงเรียนก็เดินเองเลย แต่ว่า...ตอนนี้ปะป๊าเริ่มรู้สึกผิดๆยังไงไม่รู้ เพราะเด็กทั้งโรงเรียนแต่งตัวแฟชั่นฤดูหนาวกันใหญ่ แต่ละคนจัดเต็ม มีหมวก มีแจ็กเก็ต ใส่เลคกิ้ง แต่เด็กจิ๋วมาเจ้าหญิงเลย ไหลเปิดหน่อยๆ กระโปรงสั้น มันจะหนาวไม๊เนี่ยะ
...วันนี้เรียนเปียโนจบเล่มแล้ว ครั้งต่อไปขึ้นเล่ม 3 เล่ม 2 เรียนประมาณ 15 ครั้งได้ วันนี้เรียนเปียโนเสร็จแล้วไปกินข้าวร้าน Tenya กัน คุณแม่รอมานานแล้ว เป็นร้านข้าวกุ้งทอดจากญี่ปุ่น คาดว่าจะเป็นร้านชอบที่เคยไปกินที่ญี่ปุ่นกัน แต่วันนี้กินแล้วรู้สึกว่าไม่ค่อยอร่อย คงเพราะตอนนั้นกินมานานแล้ว ผ่านมาหลายปี เจออร่อยๆเยอะแยะ อย่างร้านนี้ลงความเห็นกันแล้วว่าสู้นินนิกุไม่ได้ แต่เด็กจิ๋วชอบมากนะ บอกว่าอร่อยกว่าฟูจิ อร่อยกว่าคินนิกุ
...วันนี้ไปหาเสื้อแจ็กเก็ตกันหนาวให้เด็กจิ๋ว ได้มา 2 ตัว เป็นไหมพรมสีๆ กับของ Pum น่ารักมาก เห็นเพื่อนๆที่โรงเรียนแต่งแฟชั่นฤดูหนาวกันแล้วต้องจัดให้บ้าง แต่ว่าอาจจะร้อนก่อนได้ใส่หรือเปล่า ตอนนี้อากาศกำลังดีมากๆ ตอนเช้าๆไปนั่งห้องครัวกันไม่ต้องเปิดแอร์เลย ช่วงนี้ตอนหัวค่ำจะใช้ชีวิตกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น บางทีก็ไม่ต้องเปิดแอร์ นั่งเล่นกีตาร์ร้องเพลง ทำแบบฝึกหัด รู้สึกอากาศปลอดโปร่งกว่าอยู่ในห้องโฮม
...แบบฝึกหัดวันนี้ขั้นเทพคารวะอีกแล้ว เป็นภาพวงกลมแบ่งเป็นชิ้นเค้ก แล้วแต่ละเสี้ยวก็มีรูป ให้หารูปภาพที่หายไป อันนี้ปะป๊าไม่ต้องสอนเลย บอกว่าเด็กจิ๋วดูไป ว่าเอาภาพไหนมาเติมแล้ววงกลมนี้จะสมดุลย์สวยงามอล่างฉ่าง แค่นี้เอง เด็กจิ๋วก็สามารถทำเองได้เลย มันเป็นอะไรที่ยากมากเพราะแต่ละข้อจะไม่มีวิธีตายตัว บางข้อต้องดูตรงข้าม บางข้อดูรูปเว้นรูป บางข้อดูแบบคู่สลับไม่คู่ คือสอนยังไงก็ไม่สามารถสอนได้อ่ะ ดูแล้ว วิธีเดียวคือต้องให้เด็กคิดเอง แล้วอย่างเด็กจิ๋วพอคิดได้เองแล้ว ก็จะไม่มีทางลืม ตอนแรกก็สงสัยว่ามั่วนิ่มเปล่า ลองให้อธิบายดูก็สามารถบอกได้อย่างถูกต้อง ตอนนี้เริ่มมั่นใจวิธีการสอนของปะป๊าว่ามาถูกทางแล้วล่ะ คือต้องให้เด็กคิดเอง เรามีหน้าที่เสริมเท่านั้น วันนี้โจทย์ยาก ท้าทาย เด็กจิ๋วทำไปก็มีท้อบ้าง บางทีก็ต่อรอง ขอยังไม่ทำ ไปทำหน้าอื่นก่อน แต่สุดท้ายก็ยอมทำครบเพราะเหตุผลอย่างเดียว คือให้ปะป๊าเล่น เบบี๋น้อย คือทำถูกข้อหนึ่งก็เล่นเบบี๋น้อยทีหนึ่ง คุณแม่มาเห็นแล้วขำกลิ้งเลย อะไรกับเด็กจิ๋วก็ไม่รู้ ยอมอดทนทำแบบฝึกหัดแสนยากเพียงเพราะอยากเล่นเบบี๋น้อยไร้สาระ วิธีเล่นก็คือทำตัวกลมๆแบบว่าเพิ่งคลอดออกมา แล้วปะป๊าจะค่อยๆหาแขนหาขาจนสุดท้ายเจอสลือก็กลายเป็นเบบี๋น้อยของปะป๊า เล่นไม่เบื่อ ประมาณว่าการได้เล่นก็เป็นรางวัลสูงสุดในชีวิตแล้ว

๓ ขวบ + ๓๔๑ วัน...เสาร์ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๖
...วันนี้ไปหาหมออีกที สงสัยว่าทำไมตาปะป๊ากับคุณแม่ยังไม่เห็นดีขึ้นเลย พรุ่งนี้ก็ต้องไปเชียงใหม่แล้ว จะขับรถได้ยังไง คราวนี้เจอหมอคนใหม่อีก บอกว่าต้องอีก 2 อาทิตย์ถึงจะหาย แล้วเปลี่ยนยาให้แรงขึ้น ตอนนี้งงกันใหญ่แล้ว ไปหาหมอทีไรก็บอกว่าอีก 2 อาทิตย์ แล้วจริงๆเมื่อไหร่จะหายเนี่ยะ หรือมันแล้วแต่คนไม่เหมือนกัน หรือเราเป็นเยอะผิดปกติ หรือหมอคนแรกจ่ายยาอ่อนไป ตอนนี้มีอาการแพ้แสงอย่างรุนแรง ออกแดดไม่ได้เลย
...วันนี้เพื่อนๆเด็กจิ๋วไปเที่ยวเขาเขียวกัน เด็กจิ๋วอดไปกับเพื่อนเลย เพราะปะป๊ากับคุณแม่ยังไม่หายตาแดง วันนี้มีนิตา อั่งอั๊ง ปาร์ตี้ ครับ เบ๊บ ไป
...ตอนเย็นลังเลกันอยู่ว่าพรุ่งนี้จะไปเที่ยวเชียงใหม่ได้ไม๊ อาการแบบนี้ขับรถไม่ได้แน่ๆ แพ้แสง ตาพร่า มองอะไรก็ไม่ชัด จะเลื่อนก็ยากมาก เพราะวันเที่ยวเราก็แน่นเอียด เลื่อนก็ได้แต่ที่พัก ตั่วเครื่องบินเลื่อนไม่คุ้ม ทิ้งแล้วซื้อใหม่ถูกกว่า หรือจะทิ้งทุกสิ่งอย่างที่จองไปแล้ว ทั่งตั๋วเครื่องบิน ทั้งที่พัก รวมหมื่นกว่าบาท สรุปสุดท้ายมาลงตัวที่หารถตู้เช่าเอาแล้วกัน ไม่ต้องขับเอง ได้เที่ยวเหมือนเดิม เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีมาก คุณแม่รีบโทรไปติดต่อรถตู้เชียงใหม่ แม้กระทันหันจะบินไปพรุ่งนี้อยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ได้รถตู้เรียบร้อย แผนการท่องเที่ยวจึงเหมือนเดิม ไปวันอาทิตย์ กลับวันพุธ เด็กจิ๋วต้องหยุดเรียน วันจันทร์กับวันพุธ ส่วนวันอังคารเป็นวันหยุดรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว
...พรุ่งนี้ต้องออกจากบ้านตี 4 เด็กจิ๋วอาละวาดแน่ๆ จะเอานอนก็ไม่ยอม ช่วงนี้เป็นไรไม่รู้ ชอบตะคอก อาละวาดโวยวาย ตอนเย็นปะป๊าเลยจัดไป 1 ชุด ตะคอกเด็กจิ๋วกลับ ไม่ได้โกรธจริงนะ เป็น acting ดุเด็กจิ๋วเสียงดัง บอกว่าถ้าเด็กจิ๋วตะคอกคนอื่น ปะป๊าก็จะตะคอกแบบนี้กับหนูบ้าง คิดไปคิดมาวิธีนี้มันคงจะไม่ค่อยดีนะ เด็กจะเห็นภาพตัวอย่างของการตะคอกเพิ่มไปอีก แต่วิธีนี้เคยได้ผลจริงๆ เวลาปะป๊าโกรธจัดๆใส่เด็กจิ๋ว เด็กจิ๋วก็จะดีขึ้นมาแบบน่าใจหาย ดีได้เป็นเดือนๆเลย แต่สักพักก็จะกลับมาอาละวาดเหมือนเดิม ยังไงก็ไม่ทันแล้ว ดุแล้วก็เลยตามเลย เวลาปะป๊าดุมากๆแบบนี้ เด็กจิ๋วจะกลัว กอดคุณแม่ตลอดเวลา ปะป๊าสั่งให้ทำอะไรก็จะทำตามทันที พอดีอยากให้เด็กจิ๋วรีบนอนอยู่ด้วย เลยดุสั่งให้เด็กจิ๋วนอนเดียวนี้ เด็กจิ๋วก็รีบไปนอนเองหลับไปโดยเร็ว สรุปแล้วก็หลับไปทั้งๆที่ยังไม่คืนดีกัน

๓ ขวบ + ๓๔๒-๓๔๕ วัน...อาทิตย์ ๘ – พุธ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๖
...ไปเที่ยวเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน à N’Prim@Chiangmai-Maehongson

N’Prim@Chiangmai-Maehongson
...เช้ามืดอุ้มเด็กจิ๋วขึ้นมาเปลี่ยนชุด แล้วเรียกแท็กซี่ไปดอนเมือง คราวนี้เด็กจิ๋วเป็นเด็กดีมาก เพราะกลัวปะป๊าโกรธอยู่ เวลาจะงอแงก็จะหันมามองปะป๊า แล้วก็อาละวาดเบาๆใส่คุณแม่ เพราะกลัวปะป๊าเห็น เวลาปะป๊าหันไปมอง เด็กจิ๋วก็จะสะดุ้งพุ่งตัวไปกอดคุณแม่ ทำไมต้องกลัวปะป๊าขนาดนี้นะ ไม่เคยตีเลยนะ แค่ดุเฉยๆ สงสัยปะป๊าจะดุโหดจริง ไปถึงดอนเมืองแล้วก็ไปนั่งกินเบอร์เกอร์คิงเหมือนเดิม ตั้งแต่ออกจากบ้าน คุณแม่บอกว่าเหนื่อยมาก เพราะปะป๊ากับเด็กจิ๋วโกรธกันอยู่ คุณแม่ต้องอุ้มเด็กจิ๋วเดินในสนามบินไกล เหนื่อยมากๆ พอในร้านเบอร์เกอร์คิง ปะป๊าก็ใช้แผนให้เด็กจิ๋วทำแบบฝึกหัดบวกเลข ถ้าบวกได้ก็จะหายโกรธ ที่จริงอยากจะคืนดีกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ สงสาร แต่มันยังไม่ได้โอกาส แล้วก็ถ้าหายเร็วเกิน ก็กลัวว่าจะไม่มีประโยชน์ เด็กจิ๋วจะไม่เลิกอาละวาด
...หลังจากบวกเลข ลบเลขกันอยู่หลายข้อ ในที่สุดก็คืนดีกัน เด็กจิ๋วยิ้มแย้ม พุุ่งตัวมากอดปะป๊า ไสร้ตัวไปมา หลังจากนั้นก็ไม่เหลียวแลคุณแม่อีกเลย เล่นโน่นนี่กับปะป๊าลั้นลามาก คุณแม่บอกว่า คืนดีกันแล้ว แม่กลายเป็นหมาหัวเน่าเลยนะ ตอนนี้คุณแม่จะอุ้มก็ไม่เอาแล้ว เอาแต่ปะป๊าคนเดียว
...ตอนนี้เด็กจิ๋วร่าเริงสุดขีด ร้องเพลง เต้นรำมีความสุขมาก พูดจาตลกๆ คนเดินผ่านไปมาก็ชี้ชวนกันหัวเราะ ตอนเข้า gate ให้โพสท่าถ่ายรูป ก็จัดให้ซะแบบน่ารักมาก เอียงซ้ายเอียงขวา ทำมือทำไม้ จนเราสงสัยว่าไปเลียนแบบท่าทางพวกนี้มาจากไหน คิดเองหรือ เราไม่เคยเห็นเลยนะ เป็นท่าแบบรำงิ้ว ทำมือจีบๆม้วนๆ บิดตัวย่อขา เอียงไปเอียงมา ถ่ายรูปเสร็จก็วิ่งพุ่งตัวเข้าเครื่องบินไปเอง ไม่รอปะป๊ากับคุณแม่เลย
...ครั้งนี้เราบินนกแอร์ เป็นครั้งแรกของสายการบินนี้ มีแจกหนมกับน้ำฟรีด้วย รสชาติใช้ได้ เด็กจิ๋วได้ชุดระบายสีมาชุดหนึ่ง ไม่ยอมระบายบนเครื่อง แต่เก็บใส่กล่องช็อกโกแล็ตที่เพิ่งกินหมด แล้วเก็บใส่กะเป้ตัวเองไว้อย่างดี งง คงเป็นการละเล่นอย่างหนึ่งมั้ง ปะป๊าจำได้ ตอนเด็กๆปะป๊าเคยเก็บก้อนหินก้อนหนึ่ง เก็บใส่กล่องไว้อย่างดีเลย ประมาณว่าเป็นของล้ำค่ามาก
...ถึงสนามบินก็เจอกับรถตู้ที่ที่จองไว้ คนขับชื่อพี่ไก่ เจอกันครั้งแรกก็รู้สึกดี ท่าทางบุคลิกน่าจะโอเค ตัวอ้วนๆ ยิ้มๆ บริการดี คอยช่วยยกกระเป๋าให้เรียบร้อย คือบ้านเราจะไม่ชอบคนขับรถตู้อีกประเภทหนึ่ง ที่ตัวผอมๆหน่อย สูบบุหรี่ ขี้โม้ คุยแล้วกวนๆ ถ้าเจอแบบนั้นคงเที่ยวไม่สนุกทั้งทริป
...ระหว่างทางขอแวะ 7-11 ซื้อหนมตุนไว้หน่อย เด็กจิ๋วตลกมาก พุ่งตัวเข้า 7-11 ไม่สนใจใคร หยิบตะกร้ามาเลือกหนมผงชูรสต่างๆหยิบใส่ตะกร้า หยิบไปก็พูดโน่นนี่ไป อารมณ์ดีมาก แต่ซื้ออะไรกันนักหนา ซื้อเยอะมาก กินยังไงก็ไม่หมด แต่ปะป๊าก็ตามใจ เพราะบอกว่ามาเที่ยวแบบนี้จะให้กินหนมผงชูรสได้ไม่จำกัด ซื้อเสร็จได้หนมมา 2 ถุงใหญ่ สบายใจเด็กจิ๋วแล้วทริปนี้
...จุดหมายแรกของเราคือดอยอ่างขาง ไปถึง 11 โมง พี่ไก่จอดรถตรงบริเวณร้านค้าให้เราไปกินข้าวกันก่อน คุณแม่พยายามหาร้านก๋วยเตี๋ยวยูนาน เพราะติดใจจากไร่ชาเชียงราย แต่แถวนี้ไม่มีร้านก๋วยเตี๋ยวมีแต่ร้านอาหารจีน ก็เลยกินกับข้าว มีเห็ดหอมทอดซีอิ้ว ต้มยำปลาคัง ไข่เจียว ผัดยอดมะระ อร่อยใช้ได้เลย ราคาถูกด้วย เสียดายสั่งขาหมูไปแต่หมดอดกิน ที่หน้าร้านอาหารมีขายผลไม้ดองแบบต่างๆใส่โหลไว้ เด็กจิ๋วเห็นแบบนี้ก็ต้องขอชิมอยู่แล้ว ปกติไปเดินห้างเซนทรัลก็ไปขอชิมผลไม้แห้งประจำ ชิมของเดิมทุกครั้ง วันนี้เด็กจิ๋วได้เชอรีดองไปขีดหนึ่ง ซื้อให้งั้นๆแหล่ะ ซื้อมาก็กินแค่ลูกสองลูก ทุกทีแหล่ะ
...กินข้าวเสร็จนึกว่าจะเข้าห้องพักก่อน แต่พี่ไก่พาไปแวะจุดเที่ยวจุดแรกเลย เราก็งงๆ สรุปแล้วคือพี่ไก่ทำตัวเป็นไกด์ให้ด้วย คอยจัดให้ว่าไปไหนก่อนหลัง วันนี้ไปนี่พรุ่งนี้ไปนั่น ก็ดีเหมือนกัน เพราะทริปนี้คุณแม่ไม่ได้หาข้อมูลมา อย่างที่อ่างข่างจะไปเที่ยวจุดไหนบ้างก็ไม่รู้ แต่พี่ไก่ก็มีข้อเสียที่เหมือนรถตู้ทั่วๆไป คือมีงอแงบ้าง อย่างวันพรุ่งนี้คุณแม่อยากไปไร่สตรอเบอรี่ แต่พี่ไก่บอกว่าทางไม่ดี ไปไม่ได้ แต่พอไปถามเจ้าหน้าที่ดูเค้าก็บอกว่าไปได้ เราต้องไปขอให้พี่ไก่พาไป บอกว่าอยากไปจริงๆ ถึงจะยอม
...ที่เที่ยวจุดแรกเป็นสวนดอกไม้ จำได้ว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เคยมา รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก แต่ครั้งนี้ก็เฉยๆแล้วล่ะ พวกดอกไม้เมืองหนาวต่างๆเคยเห็นมาเบื่อแล้ว ส่วนเด็กจิ๋วก็ทำเป็นสนใจบ้าง ไปจับดอกมาดม แต่จริงๆแล้วไม่ได้สนใจหรอก แค่ทำเล่นๆเท่านั้น สนใจแต่ของที่ชาวเขาเอามาหลอกขาย มีปูพื้นวางขายของกันเต็มเลย เด็กจิ๋วได้กำไลข้อมือเส้นละ 10 บาท ซื้อมาฝากเพื่อนๆแก๊งค์นางฟ้าด้วย ครั้งนี้เด็กจิ๋วให้ความร่วมมือในการโพสท่าดีมาก ได้รูปน่ารักๆเยอะแยะเลย
...เดินเล่นถ่ายรูปกันชั่วโมงกว่าเลย เสร็จแล้วก็เข้าที่พักกัน เป็นบ้านพักของอุทยาน แต่ว่าทำใหม่ซะดีเลย ห้องสะอาด เตียง ผ้าปูก็ทำเหมือนโรงแรม ห้องไม่กว้างมาก แต่ระเบียงใหญ่ ไปถึงก็พาเด็กจิ๋วไปนั่งกินหนมผงชูรสที่ระเบียง อากาศเย็นๆชิวมาก ปะป๊าแกะหนม 2 ถุงใหญ่มาวางเรียงให้เด็กจิ๋วเลือกกินตามใจชอบ รู้สึกเด็กจิ๋ว Happy มากๆ ปะป๊าก็นั่งกินอัลมอนอบเนยที่ซื้อมาจากร้านอาหารไปเป็นเพื่อนเด็กจิ๋ว อร่อยมาก
...จากห้องพักเดินออกไปไม่ไกลจะเจอกับสวน 80 ปะป๊าออกไปสำรวจสักพักก็โทรมาบอกให้คุณแม่จัดซินเดอเรลล่ามาเลย เหมาะมากกับชุดซินเดอเรลล่าที่อุตส่าห์แบกมา สักพักคุณแม่ก็พาซินเดอเรลล่าเดินมา คนแถวนั้นตื่นตาตื่นใจชี้ชวนดูกันใหญ่ ปะป๊าอายเหมือนกันนะ แต่เด็กจิ๋วไม่หวั่น โพสท่าไปมา มีคนบอกว่าโพสท่าเก่งกว่าแฟนเค้าอีก
...ที่สวนนี่มีดอกไม้ต่างๆ ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ มีส่วนที่เป็นกะหล่ำประดับ ถึงแม้จะเบื่อแล้ว แต่ปลูกกันเยอะๆหลายๆสีก็สวนดี มีมุมเก้าอี้ให้ถ่ายรูปเยอะแยะ และ hilight ของสวนนี้น่าจะเป็นต้นซากุระ กำลังออกดอกสวยงาม มีหลายต้นแต่ว่าต้นที่ออกดอกเยอะที่สุดจะมีคนต่อแถวถ่ายรูปกันคิวยาว เด็กจิ๋วก็ไปต่อคิวกับเค้าด้วย พอถึงคิวก็เข้าไปโพสท่าให้ปะป๊าถ่ายรูป คนที่รอคิวอยู่แถวนั้น กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ประมาณว่า เด็กอะไรน่ารักมากๆ โพสท่าเก่งสุดๆ
...เด็กจิ๋วได้คิวถ่ายรูปกับซากุระเสร็จ แสงก็หมดพอดีเลย ได้เวลาไปกินข้าวเย็นกัน ที่นี่เป็นอุทยานแต่มีอาหารให้แขกที่มาพักเป็นบุฟเฟ่ แปลกดีเหมือนกัน อาหารก็มีหลากหลายดี ความอร่อยใช้ได้ ขาหมูอร่อย เปาะเปี๊ยะอร่อย ต้มซีกโครงใช้ได้ มีผัดผักที่น่ากินมาก เค้าจะผัดให้สดๆทีละจาน ต้องไปต่อแถวแย่งชิงกว่าจะได้มา ผักที่เอามาผัดก็เป็นผักสดๆที่ปลูกแถวนี้ ดูน่าตาสดมากต้องอร่อยแน่ๆ แต่ผัดออกมาแล้วผิดหวังอย่างแรง ไม่อร่อยเลย ตัวผักคงจะอร่อยแต่รสชาติแย่มาก แล้วก็มีส่วนบาร์บีคิวที่คิวยาวสุดๆ พยายามไปต่อคิวอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ รอจนดึกคิวน้อยแล้ว ก็ยังไม่สำเร็จ สุดท้ายอดกิน เด็กจิ๋วกินข้าวไปได้นิดหน่อยก็หันมาเล่น ipad เล่นไปส่งเสียงดังไป คนโต๊ะอื่นๆก็ขำกันใหญ่ ฮาสุดก็ตอนที่วิ่งไปกอดผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนปะป๊า แต่ไม่ใช่ปะป๊า วิ่งไปกอดแล้วตะโกนเรียกปะป๊าด้วย คงจะอารมณ์แบบที่ปะป๊ากับเด็กจิ๋วชอบเล่นวิ่งเข้ากอดกัน แต่พอรู้ว่าไม่ใช่ปะป๊าตัวจริงก็หน้าแตกเลย ตกใจกลัว รีบวิ่งกลับมาหาคุณแม่ คนแถวนั้นเห็นเหตุการณ์ก็ขำกันใหญ่
...วันนี้อากาศหนาวเย็นมาก ประมาณ 10 องศา ตอนอาบน้ำก็โอเคนะเพราะมีน้ำอุ่น แต่อาบเสร็จแล้วหนาวมากๆ น้ำที่อ่างล้างหน้าก็เย็นแบบเหมือนโดนน้ำกรดกัดมือ แต่เด็กจิ๋วก็ไม่บ่นนะ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ลั้นลาไปเรื่อย ตอนนอนก็ให้เล่นเกมส์แต่งหน้าได้ไม่อั้น เดี๋ยวนี้เด็กจิ๋วชอบขอโหลดเกมส์เอง คือพอเล่นๆไปแล้วมันมีโฆษณาขึ้นมาก็มาขอโหลด โหลดเองเป็นแล้ว คุณแม่สอนว่าพอเข้าไปให้ดูตรงที่มันเขียนว่า free ถ้าเป็นคำนี้ให้กดได้ ตอนนี้สามารถเลือกเอง อ่าน free ออก กดโหลดเอง แต่ทุกครั้งต้องมาให้ปะป๊ากับคุณแม่ใส่ password ซึ่งเด็กจิ๋วเรียกว่าเซ็นต์ชื่อ ทุกครั้งที่โหลดต้องมาให้เราเซ็นต์ชื่อให้ ส่วนใหญ่เป็นเกมส์แต่งหน้า ทำเล็บ ทำผม รักสวยงามมาก ช่วงนี้ไม่เคยร้องขอจะแต่งตัวแบบผู้ชายอีกเลย ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ชอบมาขอแต่งชาย บอกว่าจะได้เหมือนพี่โนพี่โน่ ล่าสุดเด็กจิ๋วโหลดเกมส์เลี้ยงลิงมา แบบว่าเปลี่ยนผ้าอ้อม อาบน้ำ เราดูแล้วก็ว่าเก่งนะ หาเกมส์เอง โหลดเอง เล่นเอง รู้ได้ไงว่าต้องเล่นยังไง บางทีปะป๊าก็ถามว่าคุณแม่สอนเหรอ คุณแม่ก็ถามว่าปะป๊าสอนเหรอ สรุปแล้วก็คือเรียนรู้ลองผิดลองถูกเอง
...เช้าวันนี้ต้องออกจากบ้านพักแต่เช้ามึดเพราะจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน ออกกันตี 5 กว่า เด็กจิ๋วงอแงไม่ยอมลุก ต้องอุ้มทั้งหลับในชุดนอนมาขึ้นรถ พอถึงจุดชมวิว ปะป๊าก็ออกไปถ่ายรูปคนเดียว คุณแม่ต้องเฝ้าเด็กจิ๋วอยู่ในรถ ไม่ยอมตื่น เมื่อวานฟ้าใสมาก แต่เช้านี้ฟ้าปิดพอสมควร แต่ก็ยังพอเห็นแสงแดงๆตอนพระอาทิตย์ขึ้น หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปไร่สตรอเบอรี่ต่อ ที่นี่ตอนแรกรถตู้อิดอ่อดไม่อยากมา แต่คุณแม่บอกว่าที่มาทริปนี้ก็เพราะอยากจะมาไร่สตรอเบอรี่นี่แหล่ะ ช่วยไปหน่อย ถ้าถึงตรงทางไม่ดี เดี๋ยวเดินไปก็ได้ พี่ไก่ก็เลยยอมไปให้ พอไปถึงจริงๆ เจอว่าทางเป็นทางดิน ทางไม่ดีจริงแหล่ะ สังเกตุไม่เห็นรถตู้เข้ามาเลย มีแต่รถสองแถว รถสวนตัว แต่รถเก๋งก็เข้าได้นะ เหมือนรถตู้จะรวมหัวเตี้ยมกันว่าจะไม่เข้ามามั้ง แล้วช่วงทางดินก็ไกลมากๆ น่าจะ 2-3 โล เป็นทางเขา ถ้ารถตู้ปล่อยให้เราเดินเองจริงๆอย่างที่คุณแม่บอกไว้ ตายแน่ๆ ที่จอดรถก็ไม่มี เพราะเป็นหมู่บ้านบนเขา รถนักท่องเที่ยวต้องจอดกันไหล่ทาง ซึ่งมีปัญหามาก ได้ยินเสียงตะโกนโวยวายว่า เต็มแล้ว ไม่มีที่จอด อย่าเข้ามา รู้สึกโชคดีที่ไม่ได้ขับรถเอง รถตู้มาส่งเราก็ก็ลงเที่ยวสบายใจ ไม่รู้ชะตากรรมว่ารถตู้จะไปจอดรอที่ไหน กลับรถยังไง ที่ไร่สตรอเบอรีเป็นหมู่บ้านชาวเขาที่เขาพร้อมใจกันปลูกสตรอเบอรีเป็นขั้นบันไดลงไปในหุบเขา สวยมาก เสียดายวันนี้ฟ้าปิดไม่เห็นพระอาทิตย์ แต่แค่นี้ก็สวยแล้ว มีหมอกนิดๆ อากาศดีๆ เด็กจิ๋วยังคงหลับอยู่ไม่ยอมตื่น ปะป๊ากับคุณแม่ก็พลัดกันอุ้มพลัดกันไปถ่ายรูป สักพักเด็กจิ๋วได้ยินเสียงเขาขายสตรอเบอรีกัน ด้วยความตะกระก็เลยยอมตื่นขึ้นมา บอกคุณแม่ว่าจะกินสตรอเบอรี ซึ่งช่วงนี้สตรอเบอรีกำลังเพิ่งออก ของที่เอามาวางขายก็มีน้อยมาก คุณแม่ต้องไปแย่งชิงกว่าจะได้มา 2 กล่อง รู้สึกว่าแพงนะ กล่องหนึ่งมีประมาณ 20 กว่าลูก ลูกเล็กๆสีขาวๆ กล่องละ 100 บาท แต่กินแล้วหวานชื่นใจมากๆ เด็กจิ๋วชอบมากนั่งกินอยู่ตรงข้างๆร้าน ตอนนี้ได้สตรอเบอรี่เข้าไปก็อารมณ์ดีแล้ว ยอมให้ถ่ายรูปได้
...ออกจากไร่สตรอเบอรี่มาก็กลับบ้านพัก แต่แวะถ่ายรูปต้นท้อแถวหน้าบ้านพักหน่อย กำลังเพิ่งออกดอก บางต้นก็สลัดใบทิ้งหมดแล้ว บางต้นยังมีใบเต็มอยู่ เราจำได้ว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนมีสวนดอกท้อที่สวยมาก แต่คราวนี้หาไม่เจอ ตรงนี้ก็ไม่ใช่ไม่ค่อยสวยเหมือนเมื่อก่อน แต่ไม่ซีเรียสมาก ถ่ายรูปแถวนี้ก็ได้ ตอนนี้เด็กจิ๋วไม่สนใจดอกท้อเลย สนใจแต่ม้าที่ชาวเขาเอามาให้ขี่ถ่ายรูป คนละ 20 บาทเอง เด็กจิ๋วสนใจอยู่นาน จนในที่สุดก็เอ่ยปากว่าอยากขี่ ทั้งๆที่กลัวนะ เวลาม้าเดินมาใกล้ๆก็กระโดดเกาะปะป๊ากับคุณแม่ กลัวสัตว์มาก อย่างพวกหมา แมว ก็กลัวหมด เป็นเพราะบ้านนี้ไม่ค่อยรักสัตว์มั้ง เลยปลูกฝังความคิดให้เด็กจิ๋วแบบนี้ แต่เมื่อเด็กจิ๋วอยากลองขี่จริงๆ เราก็สนับสนุนอยู่แล้ว เรียกชาวเขาให้พาม้ามาเลย เลือกตัวที่เด็กจิ๋วชอบด้วย แต่พอเอาเข้าจริงๆ เด็กจิ๋วก็ละล้าละลัง คือใจหนึ่งก็อยากขี่มาก แต่มันก็กลัวไม่กล้าเข้าใกล้ ชาวเขาก็พยายามช่วย เราก็พยายามเกลี่ยกล่อมบอกว่าไม่เป็นไร สุดท้ายไม่สำเร็จ
...อาหารเช้าที่นี่ก็โอเค มีไข่ดาว แฮม ไส้กรอก หนมปังตามปกติ มีข้าวต้ม กับข้าวนิดหน่อย รสชาติใช้ได้ แต่รู้สึกว่าคนเยอะ แย่งกันกินพอสมควร จานช้อนก็ไม่ค่อยพอ ตอนแรกเด็กจิ๋วจะกินหนมปังทาแยม แต่ไม่มีแยมสตรอเบอรี มีแต่แยมสีเหลือง กินเข้าไปแล้วก็ไม่รู้ว่าแยมอะไร แต่เด็กจิ๋วไม่ยอมกิน เลยให้กินข้าวผัดกับหมูกระเทียม
...ออกจากอ่างขางตอน 11 โมงกว่า มุ่งหน้าไปปาย ทางคดเคี้ยวเลี้ยวหลายโค้งอย่างที่รู้กัน ปกติปะป๊าขับเองก็สบายอยู่แล้ว แต่พอมานั่งเฉยๆให้คนอื่นขับ มันเมาไม่ใช่น้อย อาการย่ำแย่อยู่กับคุณแม่ ต้องเอาบ๊วยที่เพิ่งซื้อมายัดปากกินกันตลอดทาง แตกต่างจากเด็กจิ๋วมาก ก็รู้อยู่ว่าเด็กไม่เวียนหัวเมารถหรอก แต่นี่คึกคักมาก เล่นตลอดทาง พูดไม่หยุด เล่นเบบีน้อย เล่นบทบาทสมมุติ มันแย่ตรงที่ต้องเรียกปะป๊าไปเล่นด้วยตลอดเวลา ให้หันมาดูหน่อย ให้มากอดหน่อย เมารถจะตายอยู่แล้ว หลังๆต้องหลอกให้กินหนมผงชูรส กับเล่น ipad ไป ถึงสงบเงียบได้หน่อย นั่งกันอยู่ 4 ชั่วโมง คิดว่าถ้าปะป๊าขับเองคงจะเร็วกว่านี้เยอะ แต่ก็โอเคแหล่ะ พี่ไก่ก็ขับช้าๆ ดูปลอดภัยดีแล้ว รถแกว่งซ้ายขวาไปมา เหมือนจะกล่อมเด็กจิ๋วไปในตัว สักพักหลังจากเล่น กินหนมเสร็จก็หลับไป
...ก่อนถึงที่พัก เราแวะร้านชื่อ สตรอเบอรีปาย เป็นร้ายขายสตรอเบอรีต่างๆ มีวิวให้ถ่ายรูป แต่ไม่ค่อย work เลย วิวก็ไม่สวย ประดับร้านก็ออกแนวบ้านๆไปนิด ลองกินสตรอเบอรีปั่นก็ไม่ค่อยอร่อยมาก สู้ปะป๊าทำเองไม่ได้
...มาถึงที่พักตอนประมาณ 4 โมง ใช้เวลาเดินทางนานกว่าที่คิด ที่พักเราวันนี้ชื่อ โฮเต็ล เด อาร์ติสต์ โรส ออฟ ปาย เป็นโรงแรมเล็กๆมีไม่ถึง 20 ห้อง เป็นลักษณะโรงแรมคือเป็นตึกเดียว 2 ชั้น ไม่ได้เป็นวิลล่าหลังๆ รู้สึกไม่ค่อยชิน เพราะส่วนใหญ่จะพักแต่วิลล่า อันนี้รู้สึกว่าเวลาเดินเข้าห้องก็ต้องคอยระวังเสียงเด็กจิ๋วจะไปรบกวนห้องอื่นๆ ห้องของเราคิดว่าเป็นห้องที่ดีที่สุดของที่นี่ อยู่ชั้น 2 วิวแม่น้ำปาย ห้องไม่ใหญ่มาก แต่ระเบียงใหญ่วิวดี ภายในห้องก็เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ค่าห้องคืนละ 4000 บาท รู้สึกว่าแพงมากๆ แต่คุณแม่บอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงไฮ แล้วที่พักแถวนี้ก็แพงด้วย เราเลือกพักตรงทำเลทองของปายเลย อยู่ตรงถนนคนเดิน ติดแม่น้ำปาย ติดสะพานไม้ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ ตรงตำแหน่งที่โรงแรมนี้ตั้งอยู่ เราเดาว่าเมื่อก่อนเป็นที่ของกระท่อมริมปาย รีสอร์ทที่ปะป๊าเคยมาพักนานมาแล้ว 2 ครั้ง สมัยสิบกว่าปีก่อนต่างจากตอนนี้มาก ตอนนั้นมีรีสอร์ทน้อยมาก ข้ามสะพานไม้ไปฝั่งโน้นจะเป็นไร่กระเทียม ตอนเช้าๆมีหมอก บรรยากาศธรรมชาติสุดๆ แต่ตอนนี้ข้ามฝากไปเจอแต่รีสอร์ทขึ้นเพียบ ริมน้ำก็มีขยะเกลื่อน คนเยอะแยะ ปายถูกยำจนเละอย่างที่หลายๆคนบอกจริงๆ เสียดายเด็กจิ๋วไม่ได้มาเห็นตอนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
...พอเริ่มค่ำๆก็ไปเดินเล่นถนนคนเดินกัน แค่เดินออกจากโรงแรมก็เป็นถนนคนเดินเลย ถนนคนเดินที่นี่แปลก ปล่อยให้มอเตอร์ไซด์วิ่งกันว่อน เดินลำบากโดยเฉพาะเด็กจิ๋ว กลัวมอเตอร์ไซด์สอยไป ยิ่งแถวนี้ชอบเช่ามอเตอร์ไซด์ขี่กันอยู่ด้วย เลยสงสัยว่าบางคนจะขี่ไม่เก่งหรือเปล่า ขี่ๆแล้วจะพุ่งมาชนเราหรือเปล่า รู้สึกว่าการจัดการของที่นี่แย่มากๆ ทั้งเรื่องความสะอาด และความมีระเบียบด้วย
...จากถนนคนเดินได้แต่ของกินกลับมาโรงแรมเพียบ รสชาติหลายอย่างโอเค แต่หลายอย่างก็กินไม่ได้เลย ปะป๊ากับเด็กจิ๋วติดใจขนมพื้นเมืองปาย ชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว เป็นแป้งข้าวเหนียวสีดำทำเป็นแผ่นกลมๆ เวลาเราไปซื้อ เค้าก็จะเอามาปิ้ง แล้วโรยด้วยน้ำตาล แปลกดี อร่อยด้วย มื้อนี้เด็กจิ๋วกินแต่บาร์บีคิวหมู ที่จริงปะป๊าซื้อมากินเองนะ แต่โดนเด็กจิ๋วขโมยไป เด็กจิ๋วชอบกินอะไรหลายๆอย่างเหมือนปะป๊าเลย
...วันนี้อากาศกำลังเย็นสบายดี ไม่หนาวเหมือนเมื่อวาน ตอนดึกๆเด็กจิ๋วหลับแล้ว รู้สึกเหมือนโลกกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ปะป๊ากับคุณแม่ออกไปนั่งกินหนมที่ระเบียง บรรยากาศดีมากๆ
...ตอนเช้าไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเลย ฟ้าปิดสนิทมาก แต่ก็มีหมอกนิดๆให้เห็นบ้าง วันนี้ปะป๊าเดินไปสำรวจฝั่งโน้นของแม่น้ำใหม่ เมื่อคืนก็ไปมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ด้วยสายตาพร่ามัวเพราะตาแดงอยู่ เลยดูไม่ค่อยออกว่ามีอะไรบ้าง พอตอนเช้าไปดู เพิ่งรู้ว่ามีทุ่งดอกผักเซี่ยนอยู่ด้วย ปลูกไว้ภายในรีสอร์ทเล็กๆแต่ให้คนเดินเข้าไปถ่ายรูปได้ พอตอนสายๆรีบพาเด็กจิ๋วมาถ่ายรูปบ้าง วันนี้เด็กจิ๋วยอมโพสท่าให้ถ่ายรูปเยอะแยะเลย แต่ว่าร่างเริงมากก็เสียงดังมาก ไปทำเสียงดังในรีสอร์ทจนพนักงานต้องเดินมาบอกว่า เบาๆหน่อย เพราะแขกยังไม่ตื่น รู้สึกผิดมาก มาถ่ายรูปฟรีแล้วยังมาเสียงดังอีก
...อาหารเช้าที่นี่เป็นแบบสั่งได้คนละอย่าง สั่งเฟรนโทสมาให้เด็กจิ๋ว แต่ไม่ยอมกิน มาแย่งไส้กรอกของปะป๊ากิน จนต้องสั่งไส้กรอกเพิ่มให้ 2 ชิ้น แต่พนักงานให้เด็กจิ๋วฟรีไม่คิดตัง รู้งี้สั่งเยอะกว่านี้ก็ดี
...ประมาณสิบโมงครึ่งกินอาหารเช้าเสร็จก็เดินทางต่อ วันนี้ต้องนั่งรถพอๆกับเมื่อวานเลย ระยะทางพอๆกัน ความโค้งก็พอๆกัน ระหว่างทาง พี่ไก่แวะให้ลงไปถ่ายรูปที่จุดชมวิวกิ่วลม เราก็งงๆนะ คือมาแถวนี้ 3-4 รอบ ทำไมไม่เคยแวะถ่ายรูปที่นี่ มันใช่ที่เดียวกับทะเลหมอกปางมะผ้าหรือเปล่า ซึ่งจริงๆแล้วคนละอันกัน ความจริงถูกเฉลยในวันเดินทางกลับ พี่ไก่พาแวะจุดชมวิวทะเลหมอกปางมะผ้าอีกจุดหนึ่ง คนละที่กับที่นี่ ตอนนี้เราปล่อยให้พี่ไก่เป็นไกด์ไปเต็มตัวแล้ว จะพาเราแวะไหนก็ตามใจ ที่กิ่วลมนี้พี่ไก่พยายามบอกเราเรื่องตัวคุ่น ให้ระวัง คุณแม่กับเด็กจิ๋วใส่แขนยาวขายาวแล้วไม่เป็นไร ปะป๊าใส่ขาสั้นให้ฉีดตะไคร้กันตัวคุ่นไว้หน่อย ก็ทำตามพี่ไก่ ด้วยความคิดว่าตัวคุ่นอะไรนี่กัดก็กัดไป คงจะเหมือนยุงกัด แต่คุณแม่ก็พยายามระวังนะ ไม่ให้ตัวอะไรมากัดเด็กจิ๋ว คอยปัดแขนปัดขาให้ตลอด พอขึ้นรถกันเท่านั้นแหล่ะ เด็กจิ๋วกับปะป๊ารอด แต่คุณแม่โดนตัวคุ่นกัดจริงๆด้วย โดนไป 15 ตุ่ม ทั้งๆที่ใส่ขายาวแล้ว แต่ยังยาวไม่พอ ตรงบริเวณข้อเท้าโดยไปเต็มๆ แผลดูฉกรรรจ์พอควร เป็นตุ่มเลือดไหล แล้วก็มีวงแดงๆรอบๆ วันแรกๆยังไม่คัน แต่พอกลับมากรุงเทพเท่านั้นแหล่ะ คันมากกก ลองมาหาข้อมูลดูถึงเพิ่งรู้จักตัวคุ่น มันอันตรายมาก แต่ละคนที่โดน บางคนเป็นปีกว่าจะหาย บางคนก็เป็นเดือน เร็วสุดรู้สึกว่าจะ 2 อาทิตย์มั้ง รุนแรงมากเพราะมีผิด คุณแม่ทรมานจากตาแดงแล้วกลับมาทรมานจากตัวคุ่นต่อ ต้องกินยา ทายา ลองยาหลายยี่ห้อหลายแบบก็ไม่ค่อยหายคันเท่าไหร่ เค้าบอกว่ายังไงก็ตามห้ามเกาเด็ดขาด ถ้าพิษลามแล้วจะยิ่งหายยากไปอีก ที่จริงตอนแรกคุณแม่เกือบรอดแล้วเชียว ลงรถไปก้ไปยืนอยู่ที่ศาลา แต่ว่าพอดีวันนี้มีการแสดงของเด็กๆ ระบำนกอะไรไม่รู้ เด็กจิ๋วอยากดูใกล้ๆ ให้คุณแม่พาลงไปดูที่สนามหญ้า เลยได้แผลกลับมาอย่างที่ว่า
...วันนี้ฟ้าปิดตลอดทั้งวัน  ถึงบ้านรักไทยตอนประมาณ 4 โมง ทีแรกวางแผนว่าตอนเช้าจะไปปางอุ๋ง แต่ดูฟ้าแล้วตัดสินใจไม่ไปดีกว่า ไปก็ไม่เห็นอะไร วันนี้นอกจากฟ้าจะปิดแล้ว ฝนยังตกลงมาพรำๆอีก ผิดหวังอย่างแรง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาตั้งความหวังไว้กับที่นี่มาก เพราะแสงเช้าของที่นี่สวยมาก สีทะเลสาบตรงกลางล้อมรอบด้วยหมู่บ้านแบบยูนาน ธรรมชาติมากๆ ตอนเช้าๆจะมีหมอกที่ผิดน้ำ แสงพระอาทิตย์ขึ้นส่องลงมากระทบสวยมาก แต่ไม่ใช่วันนี้ ได้คุยกับน้องที่รีสอร์ท เค้าบอกว่าฟ้าใส่มาหลายวันตั้งแต่ต้นเดือน เพิ่งมาแปรปรวนเอาเมื่อ 2 วันนี่เอง แล้วที่เจ็บใจสุดๆ พอเรากลับมากรุงเทพแล้ว วันต่อมาน้องที่รีสอร์ทลงรูปในเฟสบุ๊คพร้อมเขียนข้อความเยาะเย้ยว่า วันนี้กลับมาฟ้าใสเป็นปกติแล้ว ถ่ายรูปมาลงสวยมาก
...รีสอร์ทที่คุณแม่จองมาชื่อรีไวท์ รักไทย รู้สึกว่าจะเป็นรีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุดของที่หมู่บ้านรักไทย เป็นบ้านอยู่บนเนินเขา บ้านปลูกอยู่ท่ามกลางไร่ชา ก็สวยมากๆเลยแหล่ะ รีสอร์ทอื่นๆเล็กๆจะมีอีกหลายที่ ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านติดทะเลสาบ ซึ่งวิวก็ดีกันไปคนละแบบ อันของเราได้วิวมุมสูง+ไร่ชา แต่ประเด็นสำคัญที่เลือกที่นี่เพราะภายในตัวบ้านที่นี่โอเคที่สุด ก็เป็นแบบธรรมดาบ้านๆ แต่ก็สะอาดดี ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัวก็หอมเลย ไม่เหม็นอับ เตียงประหลาดหน่อยเป็นแบบก่อปูนปูกระเบื้อง เด็กจิ๋วเห็นแล้วก็บอกว่า "ปะป๊า เตียงที่นี่เป็นติดกับพื้นนะ เลื่อนไม่ได้นะ"...รีบบอกปะป๊า กลัวปะป๊าไม่รู้ คงเห็นว่าของที่ดอยอ่างขางเห็นปะป๊าลากเตียงมากชนกัน
...บ้านพักที่นี่ปลูกเรียงขึ้นไปตามเนินเขาไร่ชา เราเลือกหลังที่ต่ำที่สุด ตอนแรกก็รู้สึกว่าคิดผิดหรือเปล่า เพราะหลังบนสุดจะวิวสวยกว่า คือมองลงมาจะเห็นไร่ชาแล้วก็บ้านสวยๆ ด้านล่างเป็นทะเลสาบ แต่หลังของเราจะมองลงไปเห็นบ้านเจ้าของ หลังคาสีน้ำเงินเด่นสง่า ไม่ได้กลมกลืนกับบรรยากาศเลย แต่พอเดินขึ้นมาถึงบ้านแล้วรู้สึกว่าคิดถูกแล้วล่ะ เพราะแค่หลังต่ำสุดก็เหนื่อยมากแล้ว ถ้าต้องไปพักอยู่หลังบนสุดนี่เดินขาหักแน่ๆ เวลาเราเดินขึ้นลงก็ต้องแบกเด็กจิ๋วด้วยนะ แล้วมันหนักตรงที่ว่าขึ้นมาแล้วคุณแม่ลืมแปรงสีฟันไว้ในรถ ให้ปะป๊าลงไปหยิบอีกรอบ อันนี้เหนื่อยมากนะคุณแม่
...เราใช้เวลาทั้งเย็นในร้านอาหารรีไวท์รักไทย ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับที่พัก เพราะฝนตกปอยๆตลอด ตกบ้างหยุดบ้าง ไปไหนก็ไม่ได้ สั่งอาหารมากินแบบจัดเต็มอลังการ บางอย่างอร่อยมาก แต่มีหมูทอดที่ประหลาดมาก กินไม่ลงเลย เด็กจิ๋วสนุกสนานไปกับการดูคนตกปลา คือร้านอาหารจะยื่นไปในทะเลสาบของหมู่บ้าน พนักงานก็มาตกปลาที่ทะเลสาบเอาไปทำอาหารให้แขก เราเห็นแล้วก็งงๆนะ มันได้ด้วยเหรอ ตกปลาในทะเลสาบเอามาทำอาหารขาย แอบตกหรือเปล่าเนี่ยะ
...กินข้าวเสร็จตัดสินใจยืมร่มที่ร้านอาหาร เดินกัน 3 พ่อแม่ลูก กางร่มกันไป ฝนตกแบบปอยๆมาก หลายคนก็เดินกันตัวเปล่า แต่เรากลัวเด็กจิ๋วไม่สบาย ตอนแรกบอกให้คุณแม่กางให้เด็กจิ๋ว แล้วปะป๊าใส่หมวกไม่ต้องกางร่ม แต่เด้กจิ๋วไม่ยอม ให้มาเดินด้วยกัน 3 คน มันลำบากตรงนี้แหล่ะ
...หน้าบ้านแต่ละหลังจะมีโต๊ะไม้ให้นั่ง รู้สึกว่าถ้าฝนไม่ตกคงไปนั่งชิวๆบรรยากาศดีๆ แต่นี่ฝนตกทั้งคืน พอตอนเช้าก็เป็นไปอย่างที่คาด ฟ้ายังปิด ฝนยังตก ตกๆหยุดๆ มีฟ้าเปิดเห็นแสงทองประมาณไม่ถึง 5 นาทีก็กลับมาดำมืดเหมือนเดิม เรารีบเก็บของแล้วลงไปกินข้าวต้มหมูเห้ดหอม เป็นอาหารเช้าที่รวมอยู่กับค่าห้องพัก อร่อยดี กินเสร็จก็ออกเดินทางต่อ ระหว่างทางแวะทะเลหมอกปางมะผ้า แวะกินข้าวกลางวันที่ร้านอาหารจีนยูนาน แวะร้าน Coffe in love แล้วก็กลับเข้าเชียงใหม่ ถึงสนามบินทุ่มหนึ่ง
...ที่สนามบิน เด็กจิ๋วคึกคักมาก ชอบพูดอะไรตลกๆเสียงดัง คนแถวนั้นก็กลั้นหัวเราะกัน พอเข้าไปที่ gate เด็กจิ๋วก็รีบชวนปะป๊าเล่นทำท่าตามกัน เอากระเป๋ามาสะพายด้านหน้า ให้อีกคนทำ แล้วก็ทำท่าทางตลกๆ พุ่งตัว ชี้ขาไปมา ปะป๊าเลียนแบบได้อยู่นะ แต่มันน่าเกลียด กลางที่สาธารณะ ขอยอมแพ้แล้วกัน ที่เล่นแบบนี้ก็เหมือนที่สนามบินคราวที่แล้วเลย ที่เชียงใหม่นี่แหล่ะมั้ง ระหว่างรอเครื่องก็เล่นกันแบบนี้ เด็กจิ๋วคงจะจำบรรยากาศได้เลยมาเล่นอีก เล่นไปสักพักเริ่มจะเอะอะเสียงดัง ปะป๊าเลยเปลี่ยนเกมส์ใหม่เป็นเกมส์อ่านปาก ผลัดกันพูดคำอะไรก็ได้ แบบไม่ออกเสียง แล้วให้ฝ่ายตรงข้ามทาย ตอนเด็กจิ๋วเล่น ฮามาก ปะป๊ากลั้นขำจนน้ำตาเล็ด คือไม่รู้ว่าไม่เข้าใจกติกาหรือแกล้งเนียนกันแน่ แบบว่าพูดคำมั่วๆออกมา พอเรายอมแพ้ก็เฉลยว่า "บ๋ำเบี๋ยก" "คืออา"...คำอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีความหมาย ออกแนวภาษาเด็กดอย แล้วใครจะทายถูกอ่ะ สักพัก็เปลี่ยนมาเล่นเกมส์ใบ้คำ เอาชื่อเพื่อนในห้อง อย่างเช่น ใครเอ่ยดื้อที่สุดในห้อง คือเล่นแบบนี้เพราะจะสืบความลับของเพื่อนๆเด็กจิ๋ว รวมถึงตัวเด็กจิ๋วในห้องด้วย ได้ความว่าเด็กจิ๋วตะโกนตอบคำถามครูเสียงดังที่สุด อันนี้ไม่แน่ใจว่าเชื่อได้ไม๊
...ตอนเรียกแท็กซี่กลับบ้านจากดอนเมือง เราได้รถสีเขียวเหลืองเหมือนขามาเลย เด็กจิ๋วเห็นแล้วก็บ่นว่า "อ้าว ทำไมได้สีเหลืองเขียวอีกแล้วอ่ะ ทำไมแม่ไม่เลือกสีชมพูอ่ะ"...ตอนวันเดินทางไปก็เหมือนกัน ปะป๊าออกไปเรียกแท็กซี่ปากซอยเข้ามารับเด็กจิ๋วกับคุณแม่ที่บ้าน พอเด็กจิ๋วเห็นแท็กซี่ก็บอกว่า "ทำไมปะป๊าไม่เลือกแท็กซี่สีชมพูให้น้องพริมอ่ะ"...คือ น้องพริมครับ เวลาเราเรียกแท็กซี่ เราไม่ต้องสนใจสีก็ได้นะครับ
...ตลอดทั้งทริปคราวนี้ เด็กจิ๋วทำตัวดีมาก คิดว่าเป็นเพราะปะป๊าทำโกรธไป 1 ชุดก่อนไปเที่ยว ตลอดเวลาก็จะพูดๆพูดๆไม่หยุด พูดแบบตลกๆ หรือไม่ก็ร้องเพลง เล่นจำลองบทบาทต่างๆ เล่นเบบี๋น้อย เด็กจิ๋วร่าเริงสุดขีด มีความสุขมาก ดูแล้วรู้เลยว่ามีความสุขมากจริงๆ ไม่อยากกลับบ้าน อยากเที่ยวต่อ การเที่ยวมันทำให้ชีวิตมีความสุขสุดขีด ได้กินหนมผงชูรสไม่อั้น ได้เล่นเกมส์ไม่อั้น เรื่องวิวอะไรคงไม่สนใจหรอก แต่สิ่งที่ดูเด็กจิ๋วมีความสุขที่สุดคือได้อยู่กับปะป๊าคุณแม่ทั้งวันทั้งคืนตลอดเวลาไม่แยกจากกัน ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องไปโรงเรียนก็จะน้ำตาซึมไม่อยากไป อยากอยู่กับป๊าแม่

๓ ขวบ + ๓๔๖ วัน...พฤหัส ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๖
...เมื่อคืนนอนเกือบเที่ยงคืน คิดว่าเช้านี้แย่แน่ๆ แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ปะป๊าปลุกให้ลุกขึ้นมาก็ยอมลุกแต่โดยดี พาไปห้องน้ำเรียบร้อย มีอาละวาดตอนทำผมนิดหน่อย ตอนไปส่งที่ห้องก็กอดกันแน่นๆ แล้วยอมเดินเข้าห้องแต่โดยดีไม่มีน้ำตา
...ช่วงที่บ้านเราตาแดงกัน รู้สึกว่าห่างหายไปจากวงการแม่ๆเพื่อนเด็กจิ๋วมาก ไปเที่ยวเขาเขียวกันเราก็ไม่ได้ไป แล้วช่วงนี้มีเรื่องทำเสื้อกัน คือที่เด็กๆจะแสดงเต้นเพลงพริกขี้หนู จะมีเสื้อเด็กๆเป็นเสื้อขาว สกรีนลายพริกขี้หนู ก็เลยคุยกันว่าพ่อๆแม่ๆจะใส่กันด้วย ตอนแรกเราบอกครูขวัญว่าไม่เอา เพราะเสื้อยืดใส่ไม่ได้ ใส่แล้วอ้วน ตอนที่บอกครูขวัญไป เห็นครูขวัญทำอึ้งๆ เราก็กลับมาคิดว่า มันควรจะต้องใส่ใช่ไม๊เนี่ยะ แล้วแม่ๆ ที่คุย line กันก็ใส่กันใหญ่ มีการสั่งกันมา 60 ตัว คือเด็กในห้องมีแค่ 30 กว่าคน เสื้อผู้ปกครองก็ 60 แล้ว ถ้าเราไม่ใส่นี่คงจะน่าเกลียด คงจะมีบ้านเราเท่านั้นที่ไม่ได้ใส่ ว่าแล้วก็ต้องรีบไปคุยกับน้าผึ้งให้จัดการให้ เป็นวันสุดท้ายพอดี เพราะวันนี้น้าผึ้งรับอาสาไปรับเสื้อมาให้ครู
...วันนี้เด็กจิ๋วได้กิ๊ปติดผมปีกมาคู่หนึ่ง คล้ายๆกับที่เด็กจิ๋วมีอยู่แล้ว 2 คู่ ปูจ๋าเอามาแจกเพื่อนๆในห้อง เมื่อวานก็เห็นนิตากับอั่งอั๊งใส่ถ่ายรูปลง facebook คิดว่าคงแจกเพื่อนผู้หญิงทุกคน แล้วยังได้หนมช็อกโกแล็ตมาห่อหนึ่ง จากใครก็ไม่รู้ ถามเด็กจิ๋วก็บอกว่าจำไม่ได้ เด็กจิ๋วได้หนมจากเพื่อนๆมาเยอะมากเลย เริ่มตั้งแต่ฟ้าใส หลังจากนั้นก็มีคนนั้นคนนี้เอามาแจกอยู่เรื่อยๆ เด็กจิ๋วยังไม่เคยได้เอาไปแจกซะที
...ก่อนนอน เด็กจิ๋วทำหน้าตาซีเรียสแล้วพูดกับปะป๊าว่า "ปะป๊า พรุ่งนี้วันเสาร์ น้องพริมขอดูการ์ตูนอย่างเดียว ไม่ไปเที่ยวนะ"...อ้าว ตอนไปเที่ยวก็บอกว่าไม่อยากกลับ ตอนนี้ไม่อยากไปเที่ยวแล้วเหรอ สงสัยจะเหนื่อย แล้วก็บอกต่ออีกว่า "น้องพริมไม่อยากนั่งเครื่องบินแล้ว น้องพริมเจ็บหู"...แบบนี้ตอนไปออสเตรเลียตายแน่ๆ นั่งกันนานมาก แล้วเด็กจิ๋วจะอาละวาดกลางเครื่องไม๊แนี่ยะ แต่ก็ไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ เพราะถ้าอาละวาด ปะป๊าแค่แกล้งทำโกรธ ก็จะสามารถควบคุมเด็กจิ๋วได้ทุกอย่าง

๓ ขวบ + ๓๔๗ วัน...ศุกร์ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๖
...วันนี้พยายามหาชุดฤดูหนาวมาให้ใส่ เพื่อไม่ให้ตกเทรนด์ แต่รู้สึกว่าอากาศวันนี้ไม่หนาวเหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ว วันนี้ที่โรงเรียนมีคนจัดเต็มเสื้อผ้าฤดูหนาวไม่เยอะ เจอแบทแมนครับ กับซุปเปอร์แมนปาร์ตี้ด้วย แบบนี้เด็กจิ๋วใส่ชุดเจ้าหญิงมาก็ไม่แปลกแล้ว
...วันนี้เรียนเปียโนขึ้นเล่ม 3 แล้ว รู้สึกจะเน้นเล่น 2 มือมากขึ้น วันนี้ครูหวานก็บอกว่าตั้งใจเรียนดี ซึ่งเราไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เพราะเพิ่งชมว่าเป็นเด็กดีตอนไปเที่ยว แต่พอวันนี้ไม่รู้เป็นอะไร งอแงตั้งแต่เช้าแล้ว ตอนไปห้างก็งอแงอาละวาดจนปะป๊าต้องแกล้งโกรธอีกรอบ เพราะอุ้มอยู่แล้วเด็กจิ๋วถีบตัว ปะป๊าเกือบหงายหลังไปทับต้นคริสมาสใน B2S พอปะป๊าโกรธ เด็กจิ๋วถึงกลายเป็นเด็กดี เชื่อฟังทุกอย่าง พอขึ้นรถขับมาได้หน่อยก็หลับไป สงสัยอาละวาดที่ห้างเพราะง่วงนอนนั่นเอง แบบนี้คงไม่ได้นอนกลางวันมาแน่ๆ กลับมาถึงบ้านเจอโซ่ยโกวที่มาจากฮ่องกง จะปลุกเด็กจิ๋วมาสวัสดีหน่อย แต่ไม่สำเร็จ ง่วงนอนมาก ก็เลยปล่อยให้หลับยาวไปถึงเช้า
...ตอนอยู่ใน B2S มีซุ้มให้เด็กลองเขียนปากกา มีพี่ผู้ชายอายุน่าจะ 20 ต้นๆ มาโปรโมทสินค้า ชักชวนให้เด็กจิ๋วทดลองดู เด็กจิ๋วอยากลองมากนะแต่ว่าอายพี่เค้ามาก อายแบบเขินอายอ่ะ เราก็งงว่าเขินอะไร เขินเป็นด้วยเหรอ จะลองแต่ไม่กล้า เดินเข้าเดินออกอยู่นาน จนไม่ไหวแล้วลากตัวออกไป ก็งอแงจะลอง พอลากกลับมาลองก็ไม่กล้าอีก
...วันนี้เจอน้าปอย หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน เด็กจิ๋วเห็นก็วิ่งเข้ากอดให้น้าปอยอุ้มทันที อั่งอั๊งก็เหมือนกัน เวลาเห็นหน้าปะป๊าก็พุ่งตัววิ่งเข้ามาจะกอด แต่ปะป๊าต้องเบรคไว้ก่อนเพราะตายังไม่หายดี กลัวติดเชื้อจะยุ่งกันใหญ่
...อาการตาแดงของปะป๊ากับคุณแม่ตอนนี้หายแดงแล้ว แต่ตายังมัวอยู่ มองอะไรไม่ค่อยชัด ล่าสุดหมอบอกว่ายังแพร่เชื้อได้อยู่ ต้องรอดูวันอาทิตย์ที่จะไปหาหมออีกที ว่าจะเลิกแพร่เชื้อหรือยัง มันลำบากตรงแพร่เชื้อเนี่ยะแหล่ะ จะทำอะไรก็ต้องระวังไปหมด อาการตามัวๆคงอีกเป็นอาทิตย์ถึงจะหายสนิทดี

๓ ขวบ + ๓๔๘ วัน...เสาร์ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๖
...เช้านี้ตื่นตั้งแต่ 7 โมง งัวเงียถามคุณแม่ว่าวันนี้เป็นวันอะไร ที่ถามแบบนี้ก็คือรู้อยู่แล้วล่ะว่าเป็นวันหยุด เพราะวันไปโรงเรียนไม่เคยตื่นเช้ามาถามแบบนี้หรอก แต่ถามเหมือนกันแบบนี้ทุกวันหยุดเลย พอคุณแม่ตอบว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ ก็ปีนข้ามคุณแม่มาจุ๊บแก้มปะป๊า 1 ที ปะป๊าเด้งตัวขึ้นมาแกล้งทำร่าเริง เด็กจิ๋วกระโดดขี่หลัง ปะป๊าก็เดินพาไปห้องโฮม พ่อลูกทำกันเป็นอัตโนมัติ ทำกันเป็นหน้าที่ แต่ที่จริงแล้วง่่วงสุดขีดกันทั้งพ่อลูก ไม่ได้อยากจะลุกเลย พอพามาถึงห้องโฮม ปะป๊าก็พาเด็กจิ๋วไปปล่อยไว้ที่โซฟา แล้วไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่ง กลับมาอีกที เด็กจิ๋วหลับปุ๋ยไปแล้ว คือถ้ามันทรมานมากก็ไม่ต้องทำก็ได้นะแบบเนี่ยะ รอให้สายหน่อยค่อยตื่นมาดูก็ไม่มีใครว่า พอเด็กจิ๋วหลับ ปะป๊าก็เลยนอนหลับตามไปด้วย ห่มผ้านอนกอดกันในห้องโฮม ประมาณชั่วโมงกว่าถึงจะตื่นมาดูการ์ตูนกัน วันนี้ดูเรื่อง Smurf2 เรื่องนี้พยายามให้เด็กจิ๋วดูหลายทีแล้วแต่เด็กจิ๋วบ่ายเบี่ยงไม่ยอมดู วันนี้ดูแล้วก็ชอบสนุกมาก
...ตอนบ่ายพากันออกไปฟอร์จูน มีภารกิจที่นี่เยอะแยะ เอากีตาร์ไปชุบชีวิต ซ่อม netbook ซื้อพวกของขวัญจับฉลากและของรางวัลเล่นเกมส์ปีใหม่ ตอนแรกคุณแม่พยายามบอกว่าพาเด็กจิ๋วไปแล้วจะได้เรื่องเหรอ ต้องทำตั้งหลายอย่าง เด็กจิ๋วป่วนแน่ๆ เอาเข้าจริงก็เป็นไปอย่างที่คาด แค่เดินเลือกของก็เหนื่อยแล้ว ยังต้องไล่จับเด็กจิ๋ว พาเต้นรำไปทั่วห้าง นี่คิดว่าอยู่ในปราสาทหรือไงเนี่ยะ ปะป๊าอะโอเคนะ เต้นกับเด็กจิ๋วได้ แต่เด็กจิ๋วชอบท่าโลดโผนให้อุ้มแล้วเหวี่ยงไปรอบๆ บางทีก็เล่นเบบี๋น้อย ให้อุ้มเบบี๋แบบนอนด้วยมือเดียว คืออุ้มได้นะ เคยอุ้มเล่นกันที่บ้าน แต่นี่เดินอยู่ในห้าง จะให้อุ้มมือเดียวเดินมันไม่ไหวนะ พอไม่ทำก็อาละวาด ตะโกนว่าปะป๊ากับคุณแม่เสียงดังลั่นห้าง เพิ่งจะชมว่าตั้งแต่ไปเที่ยวเห็นเป็นเด็กดี เลิกอาละวาดไปแล้ว วันนี้กลับกลายเป็นแบบนี้อีก แต่วันนี้รู้ชัดเจนเลยว่าง่วง ตื่นเช้าไม่ได้นอนกลางวัน
...เสร็จจากฟอร์จูนแล้วยังไปต่อกันที่ Homepro กับ BigC อีก เพราะต้องหาของหลากหลายประเภท ปีนี้ต้องซื้อ 37 ชิ้นแน่ะ เด็กจิ๋วที่ว่าง่วงนอนอยู่แล้ว ยังมาเดินต่อกันอีกถึงมึดค่ำ คราวนี้อาละวาดหนัก ซึ่งปะป๊าทำสัญญาไว้ก่อนลงจากรถแล้วว่าถ้ายังอาละวาดอีกจะโกรธนะ แล้วปะป๊าก็ต้องรักษาสัญญา พอโกรธปุ๊บ เด็กจิ๋วก็กลายเป็นเด็กดีทันที ไม่ว่าจะง่วงตาฉ่ำแค่ไหน แต่เห็นปะป๊าโกรธก็ทำหน้าจ๋อย บอกให้เดินตามปะป๊า ก็เดินเองตามติด เดินไปร้องไห้เสียใจไป ปะป๊าว่าจะแก้นิสัยอาละวาดด้วยวิธีโกรธนี่แหล่ะ อาละวาดเมื่อไหร่จะโกรธทันที ดูดิ๊จะได้ผลไม๊
...ที่ Homepro เด็กจิ๋วได้ fogie มาอันหนึ่งซื้อให้ไว้ไปเล่นในอ่างอาบน้ำกัน พอได้ของมาแล้วก็เอามายิ่งใส่คนนั้นคนนี้ คนแปลกหน้าไม่รู้จักก็ไปยิงใส่เค้า
...ที่ BigC เจอคนมาโปรโมทขายนมเปรี้ยว หยิบให้เด็กจิ๋วลองชิมขวดหนึ่ง เด็กจิ๋วทำเขินอายอีกแล้ว เหมือนเมื่อวานที่ B2S เลย เขินอายแบบไม่ได้กลัวนะ เค้าส่งนมเปรี้ยวให้ก็ม้วนตัวหลบหลังคุณแม่ คุณแม่รับมาให้ก็บอกว่าไม่กิน เขินไปเขินมา พอลองดูดไปคำหนึ่งปรากฎว่าติดใจ ขอให้คุณแม่พากลับมาซื้ออีก 2 แพ็ค พยายามคุยกับคุณแม่ว่าเขินอะไรอ่ะ เค้าจะเขินคนแบบไหน หล่อๆเหรอก็ไม่ใช่วันนี้หน้าแย่เป็นตุ๊ดอีกต่างหาก

๓ ขวบ + ๓๔๙ วัน...อาทิตย์ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๖
...เด็กจิ๋วตื่นเช้ามา 7 โมง ถามคุณแม่ว่า "คุณแม่ เมื่อคืนเรามีอะไรกันหรือเปล่าอ่ะ ปะป๊าโกรธน้องพริมหรือเปล่าอ่ะ"...ก็รู้อยู่แล้วยังจะถามอีก คุณแม่บอกให้ลองไปจุ๊บแก้มปะป๊าดูดิ๊ เด็กจิ๋วก็มาจุ๊บ แต่ปะป๊าไม่ยอมลุกเพราะยังไม่คืนดีกัน เด็กจิ๋วเลยมานอนข้างๆปะป๊าต่อแล้วหลับไป พอปะป๊าตื่นก็หนีไปทำอาหารที่ห้องครัว สรุปแล้วเช้านี้เด็กจิ๋วอดดูการ์ตูนเลย กว่าจะพยายามง้อปะป๊าได้ ตอนเลือกชุดกับคุณแม่ก็ถามคุณแม่ว่าปะป๊าชอบให้น้องพริมใส่ชุดไหน แล้วก็เลือกชุดที่ปะป๊าชอบ แบบว่าเอาใจปะป๊า ปะป๊าจะได้หายโกรธ กว่าจะหายโกรธกันก็สายๆแล้ว ปะป๊าให้คัดก. คัดได้สวยพอใจถึงหายโกรธ
...พาเด็กจิ๋วไปคุยกับโซ่ยโกว วันก่อนมาเจอกันทีแล้วแต่ยังหลับอยู่ วันนี้เจอกันก็ทำเขิน โซ่ยโกวขอหอมแก้มก็ไม่ให้
...ตอนสายๆพากันไป JJ Mall หาซื้อของขวัญออฟฟิตเพิ่ม ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร เด็กจิ๋วคึกคักมาก เวลาพามาห้างแล้วเหนื่อยจริงๆ หยิบจับของเค้าไปหมดทุกร้าน บางทีก็เดินแล้วยื่นมือไปรูดของที่แขวนโชว์อยู่ บางทีก็ปีนป่ายขึ้นไปจับของสูงๆ เจอร้านขายผ้าห่มนุ่มๆก็มุดเข้าไปถูหน้าถูตัวกับผ้าห่ม บอกว่าชอบมาก เลยซื้อมาให้ผื่นหนึ่งเป็นสีชมพูลาย Paul Frank
...เสร็จแล้วก็ไปโรงพยาบาลกันต่อ หมอบอกว่าปะป๊ากับคุณแม่ไม่แพร่เชื้อแล้วล่ะ แต่อาการตาไม่ชัดอาจจะอยู่ไปอีกเป็นเดือน แล้วพอหายดีแล้วอาจทำให้สายตาเปลี่ยนด้วย คือสั้นขึ้นมั้ง น่ากลัวจัง เพิ่งรู้ว่ามันรุนแรงขนาดนี้
...กลับมาบ้านตั้งใจจะรีบมาดู the voice ย้อนหลังกัน แต่พอมาถึงเด็กจิ๋วก็ทวงสัญญา ตอนออกจากบ้านสัญญากันไว้ว่าออกไปซื้อของข้างนอกกันแล้วกลับมาจะให้ดูการ์ตูน เด็กจิ๋วดันเป็นเด็กความจำดีอีก เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะโกงนะ แต่ลืมไปแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาจะดู the voice จนเด็กจิ๋วโวยวายหาว่าเราผิดสัญญาบอกจะให้ดูการ์ตูนไง สรุปแล้วเลยเปิดการ์ตูนให้ดูกับอี๊ป้อมไป แล้วปะป๊ากับคุณแม่แอบมาดู the voice กันในห้องครัว

๓ ขวบ + ๓๕๐ วัน...จันทร์ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๖
...วันนี้ตอนออกจากบ้านเจอเจ๊น่ากับเฮียโร ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า เราหายดีกันแล้วนี่ ต้องพาเจ๊น่ากับเฮียโรไปโรงเรียนด้วย ที่ผ่านมาปะป๊ากับคุณแม่ยังไม่หายดีเลยให้อาโกวไปส่งเอง เจ๊น่ากับเฮียโรเองก็ไม่ได้เล่นกับเด็กจิ๋วมา 2 อาทิตย์ได้แล้วมั้ง
...ส่งเด็กจิ๋วเสร็จแล้วไปยืนรอดูเด็กจิ๋วเข้าแถวเต้นที่สนาม ตอนแรกเด็กจิ๋วบอกว่าอย่าดูนะ ให้กลับไปเลย เราถามว่าทำไม เด็กจิ๋วบอกว่า “เดี๋ยวน้องพริมร้องไห้”...เหมือนคราวที่แล้วที่ไปยืนดูกันแล้วเด็กจิ๋วไม่ยอมเต้นเลย มองหาแต่ปะป๊ากับคุณแม่แล้วบีบน้ำตาร้องไห้ แต่วันนี้ร่าเริง ทั้งร้องทั้งเต้นเต็มที่ หันมาทำไม้ทำมือกับปะป๊าเป็นระยะๆ
...น้าปอยเล่าว่าช่วงที่บ้านเราเป็นตาแดงกัน เกิดสมาคมเด็กเล่นหลังเลิกเรียน คือมีการรวมตัวกันไปเล่นที่สนามเด็กเล่น เล่นถึง 5 โมงจนครูต้องมาไล่กลับ มีนิตา อั่งอั๊ง ครับ ปูจ๋า รู้สึกว่าจะสนุกสนานกันมาก แต่ถ้าเด็กจิ๋วไม่ตาแดงก็คงไม่ได้ให้อยู่เล่นจนเย็นขนาดนั้นหรอกมั้ง

๓ ขวบ + ๓๕๑ วัน...อังคาร ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๖
...วันที่ 27 นี้จะมีงานที่โรงเรียนแสงโสม ให้เด็กเตรียมของขวัญมาจับฉลากคนละชิ้น งบ 100 บาท คิดว่าน่าจะเป็นพวกของเล่น เด็กๆน่าจะชอบ แต่ 100 มันคงน้อยไป คงจะซื้อสัก 200 แล้วก็มีงานออกร้านขายของ ที่จริงเป็นของพี่ประถม แต่ผู้ปกครองเด็กอนุบาลจะไปร่วมด้วยก็ได้ คือให้เด็กเอาของมาขาย คนที่ซื้อก็เป็นเพื่อนๆประถมนั่นแหล่ะ ตั้งเงินทุนและกำไรที่ได้จากการขายของจะรวบรวมไปทำบุญที่วัดพระบาทน้ำพุ ลองสอบถามเจ๊น่าดูแล้ว บอกว่าปีก่อนเคยเอาของเล่นเก่าๆไปขาย ปีนี้ยังไม่แน่ใจ แม่เพื่อนๆในห้องเด็กจิ๋วก็เริ่มคิดกันว่าจะไปซื้อของจากสำเพ็งมาขาย บ้านเรายังไม่แน่ใจว่าจะร่วมด้วยดีไม๊ แต่คิดว่าจะหาวันว่างๆไปเดินสำเพ็งเหมือนกัน เพราะต้องซื้อของเล็กๆแจกเพื่อนๆในห้องเด็กจิ๋วด้วย ตามธรรมเนียมเห็นเจ๊น่ากับเฮียโรทำกันทุกปี แต่ปัญหาหนักสุดตอนนี้คือของขวัญครูๆทั้ง 4 คน ไม่รู้จะเอาอะไรดี อาโกวให้เป็นเงินเลย ตอนแรกก็ตกใจบอกว่าทำไมทำยังนั้น แต่ตอนนี้คิดหาของขวัญไม่ออก เริ่มจะเบี่ยงเบนไปทาง gift voucher Central ละ จะมีคนประนามไม๊เนี่ยะ

๓ ขวบ + ๓๕๒ วัน...พุธ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๖
...วันนี้อากาศหนาวมาก กรุงเทพอุณหภูมิ 18 องศาเลย ถ้าไปเชียงใหม่อาทิตย์นี้ต้องตายแน่ๆ วันนี้เอาแจ็กเก็ต pum สีชมพูใส่ให้เด็กจิ๋วไปโรงเรียนด้วย น่ารักมาก เดินไปมีแต่คนชม
...ตอนเย็นพาเด็กจิ๋วไปเรียน Helen ต้องเรียนชดเชยเพราะวันจันทร์ที่แล้วโน้นโรงเรียนหยุด วันนี้ปะป๊าติดประชุม เลยให้อี๊ตุ๋มพาเด็กจิ๋วไปส่งที่เซนลาด พอไปถึงเด็กจิ๋วก็ขอให้อี๊ตุ๋มเลี้ยงไอติมหน่อย ได้ไอติมโคน KFC มาอันหนึ่ง เดินกินขึ้นลิฟท์ไปเจออั่งอั๊งพอดี เด็กจิ๋วเลยแบ่งไอติมให้อั่งอั๊งกิน เด็ก 2 คน ผลัดกันเลียไอติมกันใหญ่จะติดหวัดกันไม๊เนี่ยะ
...ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าเรียนภาษาอังกฤษที่ Helen มันได้ผลไม๊เนี่ยะ เรียนมานานแล้วก็ยังไม่เห็นสื่อสารกับ teacher เป็นภาษาอังกฤษเลย พูดภาษาไทยตลอด teacher ก็ดันเข้าใจซะอีก เด็กจิ๋วกับอั่งอั๊งเรียนไปเล่นไปทะเลาะกันคืนดีกัน วิ่งมาโผล่ที่กระจกเรียกให้เราดูนั่นดูนี่ บางทีก็ออกจากห้องมาหาเราเลย มันจะได้ผลเหรอแบบเนี่ยะ
...เมื่อวันจันทร์ปะป๊าไปซื้อแอมป์มาตัวหนึ่ง เอาแบบเสียบกีตาร์เล่นได้แล้วก็เสียบไมค์ได้ด้วย วันนี้ลองเอามาเปิดดู พอดีกีตาร์กำลังเอาไปติด pickup อยู่ เลยเสียบไมค์ให้เด็กจิ๋วร้องเพลงเฉยๆ เด็กจิ๋วชอบมาก เล่นกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ถือไมค์เดินขึ้นไปบนแท่นทำเหมือนกับเวทีแล้วร้องไปหลายเพลงไม่หยุด บอกให้คุณแม่โทรไปหาอาม่าด้วย จะร้องโชว์อาม่า แบบนี้คุ้มจริงๆ

๓ ขวบ + ๓๕๒ วัน...พฤหัส ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๖
...วันนี้ส่งเด็กจิ๋วเสร็จแล้วปะป๊ากับคุณแม่หนีไปซื้อของกันที่สำเพ็ง ต้องซื้อของหลายอย่าง มีของแจกเพื่อนๆเด็กจิ๋ววันปีใหม่ ของขวัญจับฉลากสำหรับเด็กจิ๋วไปจับกับเพื่อนๆ ของรางวัลเล่นเกมส์ของบริษัท แล้วก็ของขวัญปีใหม่ให้อาเจ๊อาเฮียด้วย ช่วงปีใหม่แบบนี้รู้ชะตากรรมอยู่แล้วว่าที่สำเพ็งจะทรมานแค่ไหน คนเยอะมากตามคาด แต่วันนี้ดีที่อากาศหนาว อาจจะหนาวที่สุดในรอบหลายปีซะด้วยซ้ำ เลยเดินกันได้ไม่เหงื่อแตก ได้ของมาตามที่ตั้งเป้า ยกเว้นของอาเฮียอาเจ๊ยังไม่ถูกใจ ต้องมาหาต่อในเว็ป
...มัวแต่ช้อปกันเพลิน ไปถึงโรงเรียนเกือบสี่โมงเย็น บ้านเราไม่เคยมารับช้าขนาดนี้ ระหว่างขับรถไปก็กระวนกระวายใจนะ เพราะเมื่อเช้าเด็กจิ๋วสั่งแล้วสั่งอีกว่าให้มารับเป็นคนที่ 2 เลยนะ เราพยายามต่อรองว่าขอเป็นคนที่ 5 ได้ไม๊ เด็กจิ๋วก็ไม่ยอม พอไปถึงก็เจอน้าเบียร์ รับเด็กจิ๋วเสร็จก็พากันไปสนามเด็กเล่น คือเข้าแก๊งค์เด็กเลิกเย็นเลย อย่างที่บอกว่าช่วงที่บ้านเราตาแดง เค้ามีการตั้งแก๊งค์เด็กเย็นกัน รับเด็กแล้วพามาเล่นที่สนาม เล่นถึง 5 โมงจนครูต้องไล่ มีน้องครับ นิตา อั่งอั๊ง ต้นไม้ ปูจ๋า วันนี้เด็กจิ๋วเลยเข้าร่วมแก๊งค์ด้วย เพิ่งรู้ว่าพอถึงเวลา 4 โมงเย็น ครูจะปล่อยเด็กที่ยังไม่ได้กลับบ้านมาลงสนามเด็กเล่นหมด ทั้งอ.1-3 ประมาณดูแล้วน่าจะสัก 30 คนได้ แม่ๆบอกว่าปกติจะเหลือแก๊งค์ห้อง 1/8 กลับเป็นชุดสุดท้ายเลย แม่ๆก็จะเอาหนมมาบริการเด็กๆ เด็กๆก็วิ่งเล่นบ้าง กินหนมบ้าง เด็กคนอื่นๆก็มาขอกินบ้าง เราคิดว่าเด็กจิ๋วเล่นแบบนี้ติดลมแล้ว ไม่กลับบ้านแน่ๆ แต่เล่นจนถึง 4.40 เด็กจิ๋วก็เดินมาบอกว่าอยากกลับบ้านแล้ว ก็เลยพากลับก่อน ทิ้งเพื่อนๆอยู่เล่นต่อ ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากรีบกลับ เดาว่าไปหกล้มแล้วเจ็บ

๓ ขวบ + ๓๕๓ วัน...ศุกร์ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๖
...เด็กจิ๋วคุยกับอี๊ป้อมเรื่องที่จะไปเที่ยวทริปบริษัทพรุ่งนี้ เด็กจิ๋วถามว่า “ต้องขึ้นเครื่องบินหรือเปล่า...น้องพริมไม่อยากนั่งเครื่องบิน นั่งทีไรหูอื้อทุกทีเลย”...พรุ่งนี้นั่งรถไม่ต้องนั่งเครื่องบินนะ แต่ว่าอาทิตย์หน้าไปออสเตรเลียต้องขึ้นเครื่อง นั่งนานเลย ตายแน่ๆ เด็กจิ๋ว
...เด็กจิ๋วไปบอกกับพี่ๆว่า “พรุ่งนี้เป็นวันหยุด เราจะไปสวนสัตว์ธารณะ”...”พี่ป้อมสุดสวย ผิวขาวสวยสวย พาน้องพริมว่ายน้ำด้วยนะ”
...ตอนไปรับเด็กจิ๋วที่ห้อง เด็กจิ๋วหันมามองปะป๊าคุณแม่แล้วเฉยๆ ไม่เห็นกระโดดดีใจวิ่งมาหาเหมือนทุกที แล้วก็พยายามจะบอกอะไร ชี้มือชี้ไม้ ก็คือว่ายังไม่อยากกลับบ้าน อยากจะไปเล่นสนามกับอั่งอั๊งเหมือนเมื่อวาน แต่ไม่ได้นะ วันนี้ต้องไปเรียนเปียโน
...เด็กจิ๋วถามคุณแม่ว่า “คุณแม่ ตอนเด็กๆคุณแม่เรียนโรงเรียนอะไร แสงโสมหรือเปล่า”...คุณแม่บอกว่าไม่ใช่ เรียนที่ราชบุรี โรงเรียนนารีวิทยา...เด็กจิ๋วถามว่า “โรงเรียนอี๊ป้อมอะเหรอ”...ก็อี๊ป้อมชื่อนารีจริงๆนี่
...เด็กจิ๋วเล่นโทรโข่งในออฟฟิต ตะโกนว่า “ทุกๆท่าน วันนี้เป็นวันเกิดของพระคุณท่าน ได้ฝึกการซ้อมของพระคุณาเจ้า เชิญลายเซ็นต์หน่อยนะจะ พระคุณลุงอู๋...”...เล่นพูดมั่วไปเรื่อยแหล่ะ แต่สงสัยว่าทำไมเนื้อความมันไปเกี่ยวกับพระคุณเจ้าอะไรนี่เอามาจากไหน สงสัยโรงเรียนสอน

๓ ขวบ + ๓๕๔-๓๕๕ วัน...เสาร์ ๒๑ – อาทิตย์ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๖
...ไปทริปบริษัท à N’Prim@Centara Charn Talay
N’Prim@Centara Charn Talay
...เช้านี้ต้องปลุกเด็กจิ๋วแต่เช้า ไปทริปบริษัทกัน จับตัวเด็กจิ๋วแล้วตกใจ ตัวร้อนมาก แบบนี้จะไปเที่ยวได้เหรอเนี่ย รีบกินยาเช็ดตัวโดยด่วน แต่หลังจากนี้ก็ไม่มีไข้อีกเลย แปลกมาก อยู่ดีๆก็เป็นไข้ 1 ครั้งแล้วหายไป
ปกติทริปบริษัทจะพยายามหาที่พักใกล้ๆ เพราะส่วนใหญ่ไป 1 คืน ไม่อยากเสียเวลาเดินทาง แต่ครั้งนี้ไปไกลถึงตราด นัดพี่ๆที่ออฟฟิตกัน 6 โมงเช้า กว่าจะมากันครบออกกันไปเกือบ 7 โมง แต่ปะป๊าคุณแม่เด็กจิ๋วต้องรอพี่บางคนที่ตื่นสายอีก กว่าจะออกจากบ้านก็ 7.45 ขับรถขึ้นทางด่วน ไปใกล้ถึงสุวรรณภูมิแล้ว คุณแม่นึกขึ้นมาได้ว่าลืมหมีหมีไว้ที่บ้าน เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ไม่ต้องคิดเลย ปะป๊ารีบกลับรถทันที กว่าจะถึงบ้านก็เสียเวลาขับรถเก้อไปมาตั้ง 1 ชั่วโมง แบบนี้จะไปตามพี่ๆทันได้ไง
...สรุปแล้วเราไปถึงร้านอาหารใกล้ที่พักตอนเที่ยงกว่าๆ ช้ากว่าพี่ๆแค่ครึ่งชั่วโมงเอง ปะป๊าขับ 140-160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พอไปถึงร้านอาหาร ปะป๊าก็ไม่เจอหน้าเด็กจิ๋วอีกเลย เพราะเด็กจิ๋วก็ลั้นลาไปนั่งกินข้าวกับอี๊ป้อมเล่นกับพี่ๆ ปะป๊ากับคุณแม่ก็นั่งกินกันไปสบายใจเฉิบ ร้านอาหารพลอยแดงอร่อยดี ของทะเลสด กุ้งอบเกลือ ปูนึ่ง ปลาสามรส ต้มยำ อร่อยหมดทุกอย่าง
...อีก 3 กิโลเมตรถึงที่พัก Centara ชานทะเล ตราด ถึงแม้ที่นี่จะใช้ Brand ของ Centara แต่คุณภาพไม่ค่อยถึงระดับมาตรฐาน ที่จริงดูๆรีวิวมาก็เห็นคนด่ากันเยอะ พอมาเองก็พบว่าเป็นจริง แต่ที่อี๊ตุ๋มอี๊นกเลือกที่นี่เพราะราคาถูก คือส่วนหาดทราย ทะเล สระว่ายน้ำ หรือห้องอาหารก็ดีอยู่นะ แต่ภายในห้องแย่มากๆ เราพักแบบวิลล่าหน้าสระว่ายน้ำ พี่ๆบางคนก็พักวิลล่า Beach Front บางคนก็พักแบบห้องบนตึกซึ่งเราเหมาทั้งตึก 8 ห้องเลย ห้องของเราตั้งแต่เข้าไปก็จะเจอประตูที่ชำรุดและทรุดโทรม ควรแก่การบูรณะด่วน ของห้องอี๊ตุ๋มเปิดแล้วหล่นตุ๊บ ต้องตามช่างมาซ่อม ส่วนของห้องเรานี่ประตูล็อคยากมาก วิธีล็อคก็ยากพออยู่แล้วนะ แต่ของเราดันเสียอีก ล็อคได้บ้างไม่ได้บ้าง พี่ๆก็บ่นเรื่องประตูกันหลายคนเลย เปิดประตูเข้าไปจะเจอม่านซึ่งเหมือนผ่านศึกสงครามมา เละเทะ เก่า สกปรก พื้นห้องเป็นหินขัดแต่ไม่แน่ใจว่าสีเป็นแบบนี้หรือมันเก่าจริง เพราะดูแล้วมันเก่ามากๆไม่น่าอยู่เลย ภายในห้องนั่งเล่นมีสิ่งหนึ่งวางอยู่ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร เป็นเครื่องเคลือบดินเผา คล้ายจะทำเก้าอี้ให้นั่ง แต่ก็นั่งไม่ได้เพราะด้านบนโค้งเว้าและสกปรกเลอะเทอะเหมือนจะใส่ขยะก็ไม่เชิง หรือว่ามันต้องคว่ำเพื่อใช้งานก็ไม่สามารถคว่ำเองได้เพราะหนักมาก หรืออาจจะวางประดับไว้เฉยๆ ส่วนของห้องนอนเรียบๆโอเคไม่มีอะไร ที่เลวร้ายที่สุดก็คือห้องน้ำ เปิดเข้าไปแล้วช็อคเลย กลิ่นท่อเหม็นมาก และเหม็นแบบนี้ตลอดเวลาไม่มีหาย กลิ่นแรงออกมาห้องนั่งเล่น ต้องคอยปิดประตูห้องน้ำไว้ เหม็นแบบว่าไม่อยากเดินเข้าห้องน้ำเลย ห้องอี๊ตุ๋มก็เหม็น แต่ห้องบนตึกไม่เหม็น
...เนื่องจากห้องเราอยู่หน้าสระว่ายน้ำสุดฤทธิ์ มันช่างยั่วยวนเด็กจิ๋วเหลือเกิน เมื่อเช้าก็มีไข้ ตอนนี้ก็ไอๆ ป่วยแล้ว จะลงน้ำได้ไง แต่ทนเด็กจิ๋วอ่อดอ้อนไม่ไหว ก็เลยให้อี๊ป้อมพาลงไปแป็บเดียว แค่ 20 นาทีเท่านั้นแหล่ะ ขึ้นมาปากซีดตัวสั่นเลย หวั่นๆว่าจะป่วยหนักหรือเปล่า ปะป๊าออกปากกับคุณแม่ว่าถ้าเด็กจิ๋วเป็นอะไรปะป๊ารับผิดชอบเอง ปะป๊าอยากให้ลงน้ำเพราะอุตส่าห์มาเที่ยวทั้งที สระก็ใหญ่โตน่าว่ายด้วย
...ห้องน้ำที่นี่นอกจากจะเหม็นแล้ว ยังมีปัญหาน้ำเอื่อยด้วย ฝึกบัวเป็นแบบติดตายตัวสูงๆ เปิดน้ำเอื่อยๆลงมา กว่าจะสระผมเสร็จ ทรมานมาก ต้องทนกลิ่นเหม็นท่อด้วย
...ตอนเย็นๆนัดรวมตัวกันเล่นกิจกรรมรับน้อง ปะแป้ง แต่งหน้าพวกเด็กใหม่ ช่วงนี้มีเด็กใหม่เข้ามา 4 คนเลย เด็กจิ๋วนั่งดูพี่ๆอยู่ที่เตียงริมทะเล ดูสนุกสนาน เล่นกันเสร็จก็พากันลงทะเล เด็กจิ๋วอยากลงตัวสั่นแต่คราวนี้ไม่ให้ลงแน่ๆ ให้เล่นทรายไปได้
...ตอนอาหารเย็นเราให้เค้าจัดโต๊ะริมทะเลให้ 35 คน 4 โต๊ะ พอไปถึงก็แกล้งถามเด็กจิ๋วเลยว่าจะนั่งกับใคร รู้คำตอบอยู่แล้วล่ะ เด็กจิ๋วบอกว่านั่งกับอี๊ตุ๋มตามคาด ปะป๊ากับคุณแม่ก็สบายตัวไปอีกตามเคย หลังอาหารเย็นก็พากันมารวมตัวเล่นเกมส์กัน เด็กจิ๋วคราวนี้เป็นเด็กดีมาก ไม่ก่อกวนเท่าไหร่ นั่งนิ่งๆดูพี่ๆเล่นตลก ตอนท้ายๆจะมีการจับฉลาก ก็ขอเป็นคนถือกล่องใส่ฉลากเอง ถือไปนั่งสัปงกไป ตลกมาก ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว เด็กจิ๋วง่วงนอนมากแต่อดทนอยากดูพี่ๆ จนในที่สุดก็ทนไม่ไหว วิ่งมากอดปะป๊าให้อุ้มแล้วก็หลับไปทันที
...เช้าวันที่สองเราตื่นกันสายๆเลย ไม่มีภารกิจต้องถ่ายรูป เพราะทริปนี้ตั้งใจจะไม่รีวิว ที่จริงสัญญากับเด็กจิ๋วไว้ว่าเช้านี้จะพาไปเตะทรายเหมือนทุกครั้งที่ไปเที่ยวทะเลกัน แต่แกล้งมั่วนิ่ม กลัวเด็กจิ๋วโดนลมแล้วป่วย แล้วก็ขี้เกียจด้วย ทริปนี้ขี้เกียจสุดๆ
...กินอาหารเช้าเสร็จก็พากันไปนั่งเล่นที่เตียงริมทะเล เด็กจิ๋วเก็บลูกสนมาเรียงเป็นแถว เล่นได้คนเดียวสนุกสนาน พี่ๆก็เล่นน้ำทะเลกัน เสร็จแล้วก็มาต่อที่สระว่ายน้ำ ซึ่งเด็กจิ๋วเห็นแล้วก็โวยวายทันทีอยากจะว่ายน้ำบ้าง แต่คราวนี้ไม่ยอมจริงๆ ไม่ใช่อะไรหรอก ขี้เกียจอาบน้ำสระผมให้ มันทรมาน แล้วอีกอย่างแดดร้อนมาก แต่น้ำเย็นมาก ลงไปป่วยหนักแน่ๆ พอเที่ยงๆก็เก็บของออกจากที่พักแวะกินกลางวันแล้วก็กลับบ้าน
 
๓ ขวบ + ๓๕๖ วัน...จันทร์ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๖
...เมื่อคืนกว่าจะหลับได้ 5 ทุ่มกว่า เป็นเพราะหลับยาวมาในรถช่วงบ่าย 3 ถึง 6 โมงเย็น
...ตอนเช้าไปส่งเด็กจิ๋วสายนิดหนึ่ง พอเข้าโรงเรียนไปก็เจอเพื่อนๆกำลังเดินเข้าแถวมาที่สนาม เด็กจิ๋วบอกว่าให้ปะป๊าอยู่ดูน้องพริมเต้นด้วย วันนี้อารมณ์ดียอมเต้นตามทุกเพลงเลย
...ตอนเย็นคุณแม่ไปรับคนเดียวพาไปเรียน Helen คุณแม่บอกว่าวันนี้ดื้อมาก อยู่ในห้องเรียนก็แย่งของกันทะเลาะกัน ปกติวันอื่นๆชอบวิ่งออกมาหาปะป๊ากับคุณแม่ วันนี้คุณแม่เลยย้ายที่นั่งหลบมาไม่ให้เห็น แต่ก็ยังวิ่งออกมาหาอยู่ดี สงสัยวันนี้จะดื้อกันพิเศษ จน Teacher ต้องออกปากเองเลย บอกว่าเรื่องภาษาอังกฤษโอเคทั้งคู่นะ แต่เรื่องระเบียบวินัยไม่ได้เลย สงสัยเป็นเพราะมาเรียนวันจันทร์หรือเปล่า อยากให้ย้ายไปวันพุธอาจจะดีขึ้น เพราะวันจันทร์มันเป็นวันต้นสัปดาห์ เด็กอาจจะยังปรับตัวไม่ได้ เราก็เห็นด้วยว่าให้ย้ายวัน อยากจะย้ายพอดีเลยเพราะวันจันทร์ปะป๊าชอบมีประชุม แล้วบางอาทิตย์ต้องโดดเรียนไปเที่ยวอีก
...คุณแม่มาฟ้องให้ปะป๊าฟังว่า ตอนอยู่ที่โรงเรียนเด็กจิ๋วไปผลักอั่งอั๊งเกือบตกบ่อปลา เพราะแย่งกันดูปลา เด็กจิ๋วโมโหคุณแม่ใหญ่เลย บอกว่า “บอกแล้วไง ว่าไม่ให้ฟ้องปะป๊า”...เพราะรู้ว่าปะป๊าจะต้องโกรธแน่ๆ เรื่องแกล้งเพื่อนเป็นเรื่องใหญ่ แต่วันนี้ปะป๊าไม่โกรธนะ ยกอภัยให้ แต่ครั้งหน้าห้ามทำอีกเด็ดขาด

๓ ขวบ + ๓๕๗ วัน...อังคาร ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๖
...ช่วงนี้เพื่อนๆเด็กจิ๋วเริ่มแจกของขวัญกันแล้ว วันนี้เด็กจิ๋วได้ของอั่งอั๊ง สิตางค์ เมมิ ส่วนของขวัญที่ปะป๊ากับคุณแม่เตรียมไว้ให้เด็กจิ๋วก็เรียบร้อยแล้ว เป็นพวงกุญแจโมเดลการ์ตูนที่ได้จากสำเพงวันก่อน มีตัวเจ้าหญิง คิตตี้ มินเนี่ยน สเมิร์ฟ ยังไม่รู้เลยว่าครูจะแจกยังไง ถ้าให้เลือกกันเองสงสัยชุลมุนน่าดู คงต้องให้ครูเป็นคนเลือกให้เด็ก
...ปกติวันอังคารต้องไปเรียนศิลปะกับเพื่อนๆ แต่วันนี้น้าปอยติดทำหนมเค้กคริสมาสเลยยกเลิก เลยพาเด็กจิ๋วไปเรียนปั้นดินแทน ไม่ได้เรียนมาเป็นเดือนแล้ว ตั้งแต่ตาแดง
...ครูขวัญเดินมาบอกคุณแม่ว่ามีเรื่องตลกจะเล่าให้ฟัง ครูขวัญเล่าว่า วันนี้น้องพริมเล่นตัวต่อเอามาต่อเป็นรูปกล้อง เหมือนมากเลยคุณแม่ มีรูด้วย แล้วก็ถ่ายรูปทั้งวันเลย ถ่ายคนโน้นคนนี้ ตอนที่มาทำแบบฝึกหัดก็บอกครูขวัญว่าต้องรีบทำ เดี๋ยวกล้องหาย เพราะกล้องมันราคาแพงงงงมากกกกก พอทำแบบฝึกหัดเสร็จ กล้องก็หายไปจริงๆ ครูถามว่าหายไปไหนแล้ว น้องพริมบอกว่ากล้องแปลงร่างเป็นหุ่นยนต์ไปแล้ว คือเพื่อนรื้อไปต่อใหม่
...เด็กจิ๋วชอบแอมป์ที่ปะป๊าซื้อมามาก เอามาเล่นทุกวันเลย ตอนนี้รู้งานแล้ว ขึ้นห้องไปก็ไปเปิดเกะ หยิบไมค์ออกมา พร้อมกับพูดทุกครั้งว่า “ไมค์เนี่ยะแพงมากเลยรู้ไม๊ ห้ามทำตกเด็ดขาด”...เป็นคำพูดที่ปะป๊าเคยสั่งเอาไว้ ไมค์จะเก็บอย่างดีอยู่ในกระเป๋าอีกชั้นหนึ่ง เด็กจิ๋วเล่นเสร็จแล้วจะเก็บเองอย่างดีทุกครั้ง แล้วก็หยิบสายไมค์มาต่อเองเรียบร้อย ร้องเพลงไปเรื่อยไม่หยุด วันนี้โชว์อาโกวอาเอ้ด้วย ร้องไปหลายเพลงไม่มีเขินเลย เก่งมาก เจ๊น่าลูกแท้ๆยังไม่กล้าร้องให้พ่อแม่ฟังเลย เจ๊น่ากับเฮียโรก็จะเล่นกับน้องด้วย เจ๊น่าเป็นพิธีกร จะประกาศชื่อเพลง ระหว่างประกาศอยู่ เด็กจิ๋วจะไปแอบหลังบันได พอเจ๊น่าประกาศเสร็จก็จะวิ่งออกมาร้อง ส่วนเฮียโรเป็นกรรมการแบบ the voice จะนั่งหันหลังให้ก่อน ถ้าเด็กจิ๋วร้องเพราะก็จะหันกลับมา ต่างๆนาๆเหล่านี้คงจะเอามาจาก the voice แหล่ะ
...ตอนเย็น อาโกวสั่งไก่งวงมากินกัน ตัวละ 5,000 บาท นี่ดีนะที่แบ่งกันครึ่งตัวกับเพื่อน เพราะมาแค่ครึ่งตัวก็กินกันไปได้ไม่ถึงครึ่ง ตัวใหญ่มาก เด็กจิ๋วนั่งดูเฉยๆแต่ไม่ยอมกิน ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ร่วมกับไก่งวงครั้งแรกในชีวิต ซึ่งเก่งมาก ปะป๊าเองครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้กินไก่งวงเป็นตัวๆแบบนี้

๓ ขวบ + ๓๕๘ วัน...พุธ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๖
...วันนี้เด็กจิ๋วเอาของขวัญไปแจกเพื่อนๆแล้ว ก่อนแจกให้เลือกไว้ตัวหนึ่ง เด็กจิ๋วเลือกตัวออรอร่า เห็นน้าผึ้ง น้าเบียร์ น้าหลินก็หอบของไปแจกเหมือนกัน
...คราวก่อนเฮียโรเอาเสื้อพละของเจ๊น่ามาใส่ เจ๊น่าโกรธด่าลั่นบ้าน วันนี้เฮียโรเอาอีกแล้ว ตอนไปถึงโรงเรียน เจ๊น่าเพิ่งเห็นว่าเฮียโรเอาเสื้อเจ๊น่ามาใส่อีก คราวนี้ก็อาละวาดกลางลานจอดรถ แล้วเด็ก 2 คนก็เตะต่อยกัน คุณแม่อายมากต้องรีบไปห้าม ที่จริงแล้วไม่ใช่ความผิดเฮียโรนะ อาโกวเป็นคนหยิบให้ผิดเอง
...ตอนบ่ายปะป๊ากับคุณแม่ไปทำธุระกันหลายอย่างมาก ไปถึงโรงเรียนจิ๋วตอน 4 โมงนิดๆ สายที่สุดตั้งแต่ไปโรงเรียน ตอนเช้าเด็กจิ๋วอุตส่าห์ย้ำแล้วย้ำอีกว่าให้มารับเป็นคนที่ 2 พอเวลา 4 โมง ครูจะปล่อยเด็กทุกคนลงสนาม วันนี้เราเลยพุ่งตัวไปรับที่สนามเด็กเล่นเลย ไปถึงเห็นเด็กจิ๋วนั่งรวมกับแก๊งค์อยู่ ในมือถือเยลลี่ถ้วยหนึ่ง พอเห็นหน้าปะป๊ากับคุณแม่ก็รีบถามว่ากินได้ไม๊ เราตอบว่ากินได้ ก็ดีใจรีบแกะกินใหญ่ เยลลี่อันนี้น้านอร์ธเป็นคนให้ ให้มานานแล้วแต่เด็กจิ๋วไม่กล้ากิน บอกว่าต้องถามปะป๊ากับคุณแม่ก่อน เราก็เป็นห่วงว่าเด็กจิ๋วจะรอนานใจเสีย เศร้าใจ โกรธเคือง แต่ไปถึงแล้วเด็กจิ๋วไม่สนใจเราเลย ได้เล่นก็สนุกสนาน แถมยังบอกด้วยว่า ต่อไปให้มารับช้าๆนะ อยากจะเล่นกับเพื่อนก่อน
...ตอนเย็นพาเด็กจิ๋วไปพาราก้อน นัดเพื่อนๆปะป๊ากับคุณแม่ไว้ น้าหน่อยกลับมาเที่ยวเมืองไทยเลยนัดเจอกัน พอไปถึง ก่อนที่จะเจอป้าๆน้าๆ เด็กจิ๋วกระซิบบอกคุณแม่ก่อนเลยว่า “คุณแม่ เดี๋ยวน้องพริมจะเขินนะ...น้องพริมไม่รู้จักเค้า”...พอเจอจริงก็เขินจริงๆ เอาหัวมามุดใส่เสื้อคุณแม่ แต่โดยรวมวันนี้เป็นเด็กดีมาก ไม่มีงอแงเลย กินอิ่มแล้วก็นั่งเล่นเกมส์นิ่งๆคนเดียวไป

๓ ขวบ + ๓๕๙ วัน...พฤหัส ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๖
...ทุกวันนี้ตอนเช้า ปะป๊ากับคุณแม่จะปลุกเด็กจิ๋ว เริ่มแรกเรียกด้วยปากก่อน เรียกอยู่ประมาณ 5 นาที มีส่วนน้อยที่จะยอมลุกขึ้นมาเอง ส่วนใหญ่จะต้องไปอุ้มขึ้นมาทั้งๆหลับ แล้วพาไปนั่งชักโครก ระหว่างนั่งฉี่อยู่ก็ต้องกอดปะป๊าหรือคุณแม่ไปด้วย กอดไปหลับไป ล้างก้นเสร็จก็พาไปยืนบันไดหน้าอ้างล้างหน้า ให้ล้างหน้าป้วนปากเอง ตอนนี้สามารถทำเองได้อย่างคล่องแคล่ว รู้สึกปรับน้ำร้อนเย็นเอง รู้จักปรับความแรงน้ำเอง เสร็จแล้วพาเข้าห้องนอนไปแต่งตัว ส่วนใหญ่ก็จะงอแงนิดหน่อย บางวันใช้วิธีหลอกให้แข่งแต่งตัวกับปะป๊า บางวันแต่งทั้งนอนๆอยู่ บางวันก็ต้องมีขึ้นเสียงถึงจะสำเร็จ ตอนแต่งตัวไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ตอนทำผมนี่มีปัญหาทุกวัน จะเอาทรงถักเปียซึ่งทำยากที่สุด แล้วยังไม่ให้ความร่วมมืออีก ตอนเลือกที่ติดผมก็มีปัญหาเหมือนกัน จะเอาอันนั้นอันนี้ ปะป๊าเลือกให้ก็ไม่เอา เดี๋ยวนี้เลยไปโรงเรียนสายเกือบทุกวันเลย ไปถึง 8 โมงนิดๆ ซึ่งเป็นเวลาที่นิตา อั่งอั๊ง ครับ มาถึงพร้อมๆกัน เมื่อก่อนมาเช้าเหมือนๆกัน ทำไมตอนนี้มาสายก็มาเหมือนๆกัน นีโอเองเดี๋ยวนี้ก็เริ่มมาสายแล้ว มันอาจมีผลโดยเราคิดไม่ถึง คือเห็นคนอื่นสายก็คิดว่าสายได้บ้าง เลยไม่ซีเรียส สายไปวันละนิดวันละหน่อย แล้วก็สายขึ้นเรื่อยๆ
...วันนี้ปะป๊ากับคุณแม่มีกิจกรรมเยอะมาก เพราะจะไปออสเตรเลียมะรืนแล้ว ต้องซื้อของ ไปธนาคาร เคลียร์งานออฟฟิต กว่าจะเสร็จก็ไปรับเด็กจิ๋ว 4 โมงกว่าอีกแล้ว เหมือนตอนเช้าเลย ถ้ามันสายแล้วก็จะสายเรื่อยๆ ตอนไปรับก็เหมือนกัน เมื่อก่อนจะซีเรียสมากต้องไปถึง 2 โมงครึ่ง ไปสายหน่อย 3 โมงก็ต้องรีบโทรไปแจ้งครู แต่พอเมื่อวานสายแล้ววันนี้ก็คิดว่าสายอีกไม่เป็นไร แล้วคิดว่าหลังจากนี้อาจจะสายเรื่อยๆ เพราะที่จริงไปรับช้า เราก็มีเวลาได้ทำโน่นทำนี่เยอะแยะ น้าเบียร์กับน้าปอยก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน
...ไปถึงโรงเรียน เจอเด็กจิ๋วกำลังสนุกสนานอยู่กับเพื่อนๆ วันนี้คุณแม่ต้องเอาหนมไปแจกเพื่อนๆเด็กจิ๋วบ้าง เคยกินแต่ของเค้า ระหว่างนั่งดูเด็กๆวิ่งเล่นกัน ก็จะมีเด็กหลายคนเลย วิ่งเข้ามาหาน้าเบียร์น้าปอยเพื่อมาขอหนม เพราะรู้ว่าแก๊งค์นี้จะมีหนมมาทุกวัน มีเด็กคนหนึ่งชื่อกันดั้ม วิ่งเข้ามาแย่งของทำไม่ดีเลย ครูบุ๋มเห็นก็มาเม้าท์ให้ฟังว่าเด็กคนนี้ ครูจะรู้กันว่าห้ามแตะต้อง เพราะว่าเกเร เคยเตะครูบุ๋มด้วย ส่วนพ่อของเด็กก็ไม่ธรรมดา เคยเอาเรื่องครูไปฟ้องครูใหญ่ ครูๆเลยไม่ค่อยชอบกัน
...แก๊งค์เรามีเด็กจิ๋ว นิตา อั่งอั๊ง ครับ อยู่เป็น 4 คนสุดท้าย เพราะพอถึงเวลา 5 โมง ครูจะเรียกเด็กทุกคนจากสนามกลับเข้าห้องเรียน ซึ่งกรณีแบบนี้จะต้องเสียเงินพิเศษให้ครูค่าอยู่เฝ้าเด็กเย็น ส่วนแก๊งค์เรามีผู้ปกครองมารับแล้วจะอยู่เล่นกันถึงกี่โมงก็ได้
...ตอนเย็นให้เด็กจิ๋วทำการ์ดให้ครูๆ 5 คน ที่เพิ่ม 1 คนก็คือมีครูใหม่ชื่อครูอ๋อ มาแทนครูนิว เพิ่งมาได้เดือนหนึ่งที่ผ่านมา ครูนิวย้ายขึ้นไปอยู่อ.2 เราก็เลยต้องให้ทั้งครูอ๋อ ครูนิว คุณแม่ซื้อเป็นลิปกรอสให้ครูทุกคน แล้วให้เด็กจิ๋วทำการ์ด ปริ้นส์รูปแล้วให้ระบายสี เป็นรูปที่มีรายละเอียดเยอะมาก แต่เด็กจิ๋วก็ทำได้ดีทีเดียว มีงอแง มีทะเลาะกับปะป๊าคุณแม่เป็นระยะๆ คงจะเมื่อย แต่สุดท้ายก็ทำการ์ด 5 ใบได้สำเร็จ

๓ ขวบ + ๓๖๐ วัน...ศุกร์ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๖
...วันนี้มีงานปีใหม่ที่โรงเรียน ตั้งใจเลือกชุดราพันเซลใส่ไปโรงเรียนเลย ไปถึงที่โรงเรียน เจอเจ้าหญิงหลายองค์มาก มีเด็กคนหนึ่งเดินมาทักเด็กจิ๋วด้วย บอกว่า โหชุดราพันเซลเหรอ ประมาณว่าคงสวยอ่ะ
...พอไปถึงก็ให้เด็กจิ๋วเอาของขวัญพร้อมการ์ดมาแจกครูแต่ละคน พากันเดินขึ้นไปชั้น 2 ไปให้ครูนิวด้วย แล้วก็มีแจกกล้วยให้หัวหน้ายามถุงหนึ่ง ให้เสร็จแล้วก็รู้สึกอายยังไงไม่รู้ เห็นคนอื่นเค้าให้เป็นของขวัญกล่องใหญ่ๆ แต่ของเราเป็นกล้วยตากถุงเดียว
...พยายามถามครูแหววว่างานขายของมีกี่โมง ครูแหววบอกว่ามี 9 โมง แต่เจ๊น่าบอกว่าเที่ยง ต้องไปถามที่ธุรการถึงจะได้คำยืนยันว่าเที่ยงจริงๆ ปะป๊ากับคุณแม่เลยไปช้อปปิ้งที่เซนลาดกันก่อน แล้วเที่ยงๆค่อยกลับเข้ามา มาถึงก็เจอเด็กๆมาตั้งโต๊ะขายของกันแล้ว เจี๊ยวจ๊าวชุลมุนกันมาก ของห้อง อ.1/8 มีโต๊ะให้ตัวหนึ่ งแม่ๆเอาเสื้อผ้าเก่ามาขายกัน บ้านเราไม่ได้เอา เพราะคิดว่าเสื้อผ้าเก่าจะขายใคร เค้าเน้นให้เด็กประถมมาซื้อกัน แต่เอาเข้าจริงๆ เสื้อผ้ามือสองของห้องเราขายดีมาก ขายได้เงินเยอะที่สุดของทั้งโรงเรียนเลย ได้ 5000 บาท คนที่มาซื้อก็เป็นพวกครูๆกับผู้ปกครอง เจอเจ๊น่ากับเฮียโรด้วย ทั้งสองคนไม่ช่วยเพื่อนในห้องขายเลย เอาแต่ช้อปอย่างเดียว
...งานขายของเป็นของเด็กประถม ของอนุบาลก็มีแต่อ.1 ทั้ง 3 ห้องมาแจม ส่วนงานของอนุบาลเป็นการกินหนมกันเหมือนตอนงานปิดเทอม กินตอนเช้ารอบหนึ่ง รอบบ่ายอีกรอบหนึ่ง เห็นบอกว่ามีสอยดาวด้วย แต่ไม่เห็นว่าไปเล่นกันตอนไหน ส่วนของขวัญจับฉลาก ได้ของน้องปุญย์ เป็นมาชเมลโล่
...วันนี้ได้คุยกับแม่ปูจ๋านานหน่อย เคยรู้มาก่อนว่าปูจ๋าไปเรียนร้องเพลงที่ครูอ้วนอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเก่งขนาดนี้ เคยขึ้นเวทีร้องเพลงหลายๆงานมาแล้ว อย่างงาน midnight sale ที่ห้างเดอะมอลล์ คิดว่าครูอ้วนคงจัดไป คือเรียนด้วยแล้วยังฝึกให้เด็กกล้าด้วย ดูคลิปแล้วเก่งจริง ทั้งร้องเก่ง ความจำดี กล้าแสดงออก
 
๓ ขวบ + ๓๖๑-๓๗๐ วัน...เสาร์ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๖ – อาทิตย์ ๕ มกราคม ๒๕๕๗
...ไปเที่ยวออสเตรเลีย à N’Prim@Australia
 
N’Prim@Australia
...เด็กจิ๋วเคยไปฮ่องกงกับสิงคโปร์มาแล้ว เป็นทริปเมืองนอกเล็กๆแบบหยั่งเชิง ครั้งนี้ไปไกลถึงออสเตรเลีย เป็นการเที่ยวนอกประเทศที่ไกลที่สุด ครั้งนี้ไม่ค่อยห่วงเรื่องการนั่งเครื่องบินนานๆ เพราะค่อนข้างมั่นใจในตัวเด็กจิ๋วว่าโตพอแล้ว เคยนั่งเครื่องบินสิบกว่าครั้งมาแล้วด้วย เราออกเดินทางจากบ้านตอนเย็นๆวันเสาร์ มีรถรีมูนซีนเบนซ์จากบัตรเครดิตมารับไปดอนเมือง เนื่องจากว่าเราบิน low cost แบบประหยัดสุดๆ เลยต้องบิน 2 hop hop แรกบินจากดอนเมืองไปมาเลเซีย ใช้เวลา 2 ชั่วโมง นั่งรอเปลี่ยนเครื่อง 2 ชั่วโมง แล้วบินจากมาเลเซียไปออสเตรเลียอีก 7 ชั่วโมง การเดินทางราบรื่น เด็กจิ๋วเป็นเด็กดีมาก ไม่งอแงเลย โชคดีด้วยล่ะที่เป็น flight กลางคืน เด็กจิ๋วขึ้นเครื่องก็หลับไปโดยง่าย ตื่นมาอีกทีก็ถึง Sydney แล้ว
วันที่ 1
...คราวนี้อี๊กบกับอี๊นุ้ยร่วมคณะไปเที่ยวด้วย ซึ่งเป็นไปตามคาด เด็กจิ๋วไปเกาะแกะแต่กับอี๊นกตลอดเวลา ช่วยแบ่งเบาปะป๊ากับคุณแม่ไปได้เยอะเหมือนกัน เราไปถึงสนามบิน Sydney ตอนสายๆ หารถ shuttle bus ไปโรงแรม เป็นรถตู้ลาก container สำหรับขนกระเป๋า ไปถึงโรงแรม Travelodge@Phillip Street ตอนเกือบเที่ยงแล้ว โรงแรมนี้คืนละ 4,900 บาทต่อห้อง บ้านเราห้องหนึ่ง อี๊นุ้ยอี๊กบอีกห้อง คืนนี้เรานอนแยกห้อง แต่หลังจากวันนี้จะนอนรวมห้องเดียวกันตลอดเพราะประหยัดค่าที่พักได้มาก ค่าห้องคืนนี้แพงที่สุดในทริปนี้เลย เพราะว่าโรงแรมที่ Sydney แพงมาก ยิ่งช่วงที่เราไปนี่เป็นช่วง High สุดๆ โชคดีเราอยู่ Sydney แค่คืนเดียว
...เก็บของเสร็จก็รีบออกมาเที่ยวกัน จากโรงแรมเดินไปท่าเรือไม่ไกล น่าจะประมาณ 2 กิโลเมตรได้ เดินไปถ่ายรูปไปก็โอเคอยู่ พยายามจะหาร้านอาหารกิน แต่หายากมากๆ ร้านอาหารก็ไม่ค่อยมี ร้านสะดวกซื้อก็หาไม่ค่อยเจอ ย่านนี้รู้สึกว่าจะเป็นย่าน Business ของเมือง ส่วนใหญ่จะเป็นตึกบริษัท เงียบๆ แต่พอไปถึงท่าเรือนี่คนละโลกเลย คนเยอะมาก ส่วนใหญ่น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวมาลงเรือนั่งชมโอเปร่าเฮ้าส์กัน เจอร้าน Burger King ซึ่งที่นี่จะใช้ชื่อว่า Hungry Jack เพื่อเลี่ยงชื่อร้าน local ที่ซ้ำกัน ตอนแรกเจอก็ดีใจ ได้อาหารกินแล้ว แต่ว่าคนเยอะมาก ต่อคิวล้นทะลักมานอกร้าน ตอนนี้เด็กจิ๋วเริ่มอาละวาดแล้ว หาขนมให้กินรองท้อง จนในที่สุดก็หาร้าน Pancake on the rock เจอ คุณแม่ใช้ google map หา ร้านนี้เป็นร้านดัง ตั้งอยู่ใกล้ๆท่าเรือนั่นแหล่ะ ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องคิวยาวอยู่แล้วด้วย แต่วันนี้เราถือว่าโชคดีมาก ต่อคิวแค่ครึ่งชั่วโมง เป็นร้านอาหารฝรั่ง ราคาแพงมาก จานละประมาณ 20 เหรียญหรือ 600 บาท เราสั่งพวกพิซซ่า สลัด ฟิช&ชิพ ซี่โครง แล้วก็แพนเค้กอีก 2 จาน กินกันไป 100 กว่าเหรียญ รู้สึกว่าแพงมากๆ อาหารรสชาติอร่อยดี แต่มันแพงกันอย่างงี้เลยเหรอ แต่หลังจากวันนี้ก็เพิ่งรู้ว่าราคาอาหารที่นี่ก็ประมาณนี้แหล่ะ วันแรกยังปรับตัวไม่ทัน วันหลังๆจะเริ่มรู้สึกดีขึ้น แล้วที่สำคัญ ค่าครองชีพที่ Sydney จะแพงที่สุด แพงกว่าเมืองอื่นๆที่เราไปกันวันหลัง อย่างที่นี่ น้ำเปล่าขวดเล็กเกือบร้อยบาท ซื้อขวดใหญ่ 1.5 ลิตรมากิน จะถูกหน่อย ประมาณ 150 บาท พริงเกิ้ลกระป๋องละ 150 บาท ของทุกอย่างแพงหมด ไม่ค่อยอยากจะซื้ออะไร แต่เด็กจิ๋วก็ขอกินโน้นกินนี่ พริงเกิ้ลกินที่บ้านเราก็ได้ ยังต้องไปซื้อที่ออสเตรเลียกินอีก
...วันนี้เป็นวันเกิดเด็กจิ๋วครบ 4 ขวบพอดี ถือว่ากินกันที่ร้าน Pancake on the Rock เป็นการเลี้ยงฉลองเด็กจิ๋วไปเลยแล้วกัน
...หลังจากอาหารกลางวัน เราจะต้องไปช้อปปิ้งหาของฝากกันที่ห้างหนึ่ง เค้าบอกว่าของฝากที่นี่ถูกที่สุดแล้ว ไม่ต้องไปหาที่อื่นเลย ตามแผนที่คุณแม่วางไว้คือต้องนั่งรถเมล์ไป แต่ว่าวันนี้รถเมล์หยุด ต้องนั่งแท็กซี่ พอเรียกแท็กซี่ แท็กซี่บอกว่าเด็กจิ๋วเกินมาคนหนึ่ง นั่งได้แค่ 4 คนเท่านั้น โห เด็กก็ไม่อนุโลม ไม่รู้ทำไง เลยต้องเรียกแท็กซี่ไปกัน 2 คัน คันละ 20 เหรียญ รู้สึกว่าแพงมากๆ เอาค่ารถไปรวมกับค่าของฝาก ของฝากที่นี่จะกลายเป็นแพงไปไม๊ พอไปถึง ปรากฎว่าห้างกำลังปิด 5 โมง ทำไมที่นี่คนขี้เกียจกันจัง เรามีเวลาเดินซื้อกันประมาณ 10 นาที ระหว่างที่รีบซื้ออยู่ก็มีเจ้าหน้าที่มาคอยเร่งๆไล่ๆบอกว่าปิดแล้ว สรุปแล้วก็ได้ของฝากมาเยอะเหมือนกัน เป็นพวกพวกกุญแจตุ๊กตา ที่ติดตู้เย็น หมวก เป็นต้น
...ตอนเย็นๆเดินจากโรงแรมไปอีกทางหนึ่งตรงข้ามกับท่าเรือ คราวนี้ไปทางสวน เดินเลาะๆสวนเข้าไปถึงจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก จุดนี้เห็นโอเปร่าเฮ้าส์แล้วก็สะพาน Harbor Bridge วิวสวยงาม แต่วันนี้ฟ้าปิด ไม่ค่อยเห็นแสงสีทองเท่าไหร่ เดินเล่นถ่ายรูปกันจนค่ำมืดถึงค่อยพากันเดินกลับโรงแรม คราวนี้เด็กจิ๋วให้อุ้มตลอดอีกแล้ว เดินเองน้อยมาก อุ้มเด็กจิ๋วเดินเหนื่อยไม่แพ้ที่สิงคโปร์เหมือนกัน
วันที่ 2
...การเดินทางที่นี่ลำบากมาก รถเมล์ไม่ค่อยมีวิ่ง มีรถไฟแต่ก็ป้ายน้อยมากไม่ทั่วถึงเหมือนที่ฮ่องกงหรือญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ใช้การเดินเท้าเอา เช้าวันที่ 2 ที่ Sydney เราออกจากโรงแรมตั้งแต่ตี 5 ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Harbor Bridge กัน ต้องไปคนละฝั่งกับเมื่อวาน เส้นทางที่คิดว่าดีที่สุดคือนั่งรถไฟ แต่ก็ต้องเดินไกลมากกว่าจะไปถึงสถานี จากสถานี นั่งรถไฟไปแค่ 2 ป้ายก็ถึง แล้วก็เดินต่ออีกไกล คือรถไฟไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่นะ คือขึ้นรถไฟแล้วก็ยังต้องเดินไกลอยู่ดี ตอนนี้เด็กจิ๋วยังไม่ตื่นเลย ต้องอุ้มสถานเดียว ไปถึงจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น วันนี้ฟ้าก็ยังปิดอยู่ดี ไม่ค่อยสวยอย่างที่หวัง แต่ก็พอใช้ได้ ถ่ายรูปกันสักพัก ก็หาทางกลับบ้าน คุณแม่เกิดไอเดียเห็นเรือข้ามฟาก เลยหาข้อมูลทั้งหาจากเว็ป ถามคนแถวนั้น ในที่สุดก็ลองมั่วๆดู นั่งเรือข้ามฝากมาถึงท่าเรือที่เมื่อวานนี้เรามาเดินเล่นกัน ขึ้นจากเรือก็เดินต่อกลับโรงแรมไม่ไกล ทางนี้ดีกว่านั่งรถไฟมาก
...อาหารเช้ามื้อนี้ซื้อนมกับหนมมากินกันในห้องพัก ราคาไม่ได้ถูกนะ แต่หาร้านอาหารยากมาก เรียกว่าไม่มีร้านแถวนั้นเลยจะดีกว่า พอสายๆก็เดินไปเที่ยวสวนสาธารณะกับโบสถ์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ วันนี้ฟ้าใส แสงดีใช้ได้ พาเด็กจิ๋วเข้าไปนั่งเล่นในโบสถ์เป็นครั้งแรกในชีวิตด้วย หลังจากนั้นก็เดินช้อปปิ้งกัน ได้พวกครีมของ David Jones เป็นของฝาก
...ช้อปปิ้งเสร็จก็รีบกลับโรงแรมหาข้าวกลางวันกิน คนที่ front บอกว่าร้านอาหารให้เดินกลับไปแถวที่ช้อปปิ้งใหม่ ชั้นบนของห้างจะเป็น food court เราเลยต้องพากันเดินกลับไปใหม่ ขึ้นไปชั้น 5 ของห้าง เจอร้านอาหารหลายร้านเป็น food court จริงๆด้วย ก็เลยอ๋อ ร้านอาหารมันมาอยู่กันแบบนี้นี่เอง คล้ายๆกับร้านติ่มซำของฮ่องกง ถ้าเดินหาไม่มีวันหาเจอ เพราะมันจะอยู่ชั้น 2 แต่นี่เรามาห้างเดียว เลยไม่แน่ใจว่าห้างอื่นๆก็มี food court แบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า อาหารที่นี่ ราคาประมาณ 10-15 เหรียญ ก็ถูกกว่าอาหารในร้านอย่าง Pancake on the rock เมื่อวานนี้
...กินข้าวเสร็จก็รีบพากันวิ่งกลับโรงแรม เจอรถ shuttle bus รออยู่หน้าโรงแรมแล้ว รีบขนกระเป๋าขึ้นแล้วไปสนามบิน เพื่อบินต่อไป Melbourne ใช้เวลาบินประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ ไปถึงตอน 2 ทุ่ม กว่าจะนั่งรถ Bus เข้าเมืองอีกเกือบชั่วโมง มาถึงท่ารถ Bus ก็สามสี่ทุ่มแล้ว ซึ่งจุดนี้ลำบากมากที่สุดในทริป เพราะต้องเดินไปโรงแรม iBis Budget ประมาณ 5 block น่าจะ 2 กิโล คือเดินเฉยๆก็สบายๆ แต่นี้ต้องลากกระเป๋าเดินทาง 4 ใบ สัมภาระอื่นๆอีก และที่หนักสุดก็คือต้องอุ้มเด็กจิ๋วด้วย หลอกให้เดินเองไม่สำเร็จเลย ต้องอุ้มตลอด กว่าจะมาถึงโรงแรมก็หมดแรงกันเลย ระหว่างทางเดินมาก็เจอร้านช้อปปิ้งเยอะแยะ ตอนที่เราเดินผ่านนะปิดแล้ว แต่ก็เป็นการสำรวจไว้ก่อน วันหลังจะได้เดินมาซื้อได้รวดเร็ว เจอร้าน outdoor หลายร้าน ถูกใจอี๊นุ้ยกับปะป๊าเลย แล้วก็ได้ค้นพบว่าที่ Melbourne แตกต่างจาก Sydney มากมายเหลือเกิน ที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก นอกจากร้านช้อปปิ้งเยอะแล้ว ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น ก็มีอยู่ข้างทางทั่วไป ร้าน subway เจอเกลื่อนเมือง ร้าน 7-11 เยอะมาก มีเกือบจะทุก block เลย นอกจากนั้น ราคาของกินที่นี่ก็ยังถูกกว่าที่ Sysney ด้วย อย่างน้ำขวดใหญ่ ที่ Sydney 5 เหรียญ แต่ที่ Melbourne หาได้ที่ 3 เหรียญกว่า หลังจากเก็บกระเป๋าเข้าห้องพักแล้ว ก็รีบออกไปซื้อของกินที่ร้านสะดวกซื้อข้างๆโรงแรมแล้วมานั่งกินกันที่ห้องอาหารของโรงแรม
...iBis Budget เป็นโรงแรมแบบถูก มีส่วนห้องอาหารที่มีตู้เย็น ไมโครเวฟ น้ำร้อนให้แขกมาอุ่นอาหารกินกัน รู้สึกมื้อนี้เอร็ดอร่อยแล้วก็สนุกสนานด้วย เด็กจิ๋วได้กินนมกับคอนเฟล็ก เรื่องนม สงสัยมากว่าทำไมประเทศนี้ถึงไม่มีนม UHT แบบของบ้านเรา แบบชนิดที่ไม่ต้องแช่เย็น ของที่นี่มีแต่แบบกล่องบ้านแช่เย็น แล้วก็มีแค่ 2 ยี่ห้อ มาทริปนี้เด็กจิ๋วอดอยากนมมาก รู้งี้แบกมาจากเมืองไทยดีกว่า
...ห้องพักคืนนี้นอนรวมกันหมด 5 คน ค่อนข้างจะแคบและอึดอัด ห้องน้ำก็แคบมากใช้ผ้าม่านแยกส่วน ประตูก็ไม่มีกลอน เวลาทำธุระจะเสียวเด็กจิ๋วอย่างเดียวแหล่ะ เวลาจะเข้าห้องน้ำต้องสั่งให้คนอื่นคอยเฝ้าเด็กจิ๋วไว้ ห้ามมาเปิดประตูเล่น ที่ถูกใจเด็กจิ๋วที่สุดก็คือเตียง 2 ชั้น ชอบมาก ปีนขึ้นปีนลงไม่หยุด ตอนแรกปะป๊าจะนอนบนแล้วให้คุณแม่กับเด็กจิ๋วนอนข้างล่าง แต่คิดไปคิดมา กลัวปะป๊าทำเตียงหักหล่นมาทับแม่ลูก เลยย้ายให้แม่ลูกขึ้นไปนอนข้างบนแทน ซึ่งก็ถูกใจเด็กจิ๋วยิ่งนัก
วันที่ 3
...เช้าวันแรกใน Melbourne เราเลือกไปตลาด Queen Victoria Market เพราะเปิดเช้า ตั้งแต่ 6 โมง วิธีการเดินทางไปก็คือลังเลอยู่ว่าจะเดินไป หรือนั่งรถลาง ที่ Melbourne นี่จะเดินทางกันด้วยรถลางเป็นหลัก มีหลายสายให้เลือกเหมือนรถเมล์เลย แต่มีสายเดียวที่ขึ้นได้ฟรี เป็นรถลางรอบเมือง เราตัดสินใจไม่เดินไปเพราะกลัวเดินไม่ไหว ประมาณ 5 block เลือกขึ้นรถลาง พอขึ้นไปแล้ว ปรากฎว่าไม่ง่ายอย่างที่คิด ต้องไปซื้อบัตรสำหรับขึ้นรถลางที่ 7-11 ก่อน ก็พากันลงมาไปหา 7-11 เพื่อซื้อบัตร เครื่องออกบัตรก็เจ๊งอีก ลองไปขึ้นรถรางฟรีรอบเมืองแล้วกัน อ้อมหน่อยแต่ก็ถือว่าเที่ยวรอบเมืองไปในตัว แต่ต้องเดินไปอีกไกลเพื่อไปขึ้นอีกสถานีหนึ่ง ไปยืนรอกันอยู่นาน คุณแม่เช็คตารางเดินรถในเว็ปเพิ่งรู้ว่าเริ่มวิ่ง 9 โมง ก็เลยต้องรอกันอีก กว่าจะรอกว่าจะได้ขึ้น กว่ารถจะอ้อมไปถึงที่หมาย แล้วลงจากรถก็ต้องเดินอีกไกล ตอนหลังเพิ่งมารู้ว่าทางที่ดีที่สุดก็คือเดิน เดินไปตรงๆประมาณ 2 กิโลก็ถึง
...ตลาดนี้ถูกใจพวกเรากันมาก ใครบอกว่าของฝากที่เราไปที่ Sydney ถูกที่สุด มาเจอที่นี่ถูกกว่าอีก ตุ๊กตาน่ารัก 7 ตัว 10 เหรียญ เป็นพวกจิงโจ้ โคล่า สัตว์ต่างๆของออสเตรเลีย เหมาะจะเป็นของฝากที่สุด ซื้อพวกตุ๊กตาไปอีกเยอะเลย เอาไปฝากๆพี่ๆที่ออฟฟิตด้วย แล้วได้บูมเมอแรง เสื้อยืด ผ่านมาอีกโซนของตลาด เจอกับผลไม้แบบช็อคสุดขีด สตรอเบอรีลูกโตกล่องละ 1 เหรียญ กล่องหนึ่งมีประมาณ 10 ลูก ตอนแรกไม่แน่ใจว่า 1 เหรียญจริงเปล่า ลองให้อี๊กบไปหยั่งเชิงดูก่อน หยิบมากล่องหนึ่งแล้วส่งให้คนชายไปเหรียญเดียว ปรากฎว่าเหรียญเดียวจริงๆด้วย รีบตามไปซื้อเพิ่มใหญ่ อร่อยและถูกเว่อร์มาก กล่องเท่านี้ในร้านสะดวกซื้อใกล้ๆที่พักขายกล่องละ 5 เหรียญ ไม่สดเท่านี้ด้วย ถัดจากสตรอเบอรี่ก็เจอเชอร์รี่ กิโลละ 9 เหรียญ ลูกใหญ่อร่อยมาก ซื้อมาคนละโล เดินไปกินกันไป มีความสุขมาก ยังมีองุ่นด้วย เด็กจิ๋วชอบกินมาก เป็นองุ่นเขียวไม่มีเม็ด
...ช่วงบ่ายๆแยกย้ายกันไปช้อปปิ้ง ซึ่งซื้ออะไรไม่ได้เลย ของแพงหมดทุกอย่าง พวกสินค้า outdoor ที่ผ่านมาเห็นเมื่อคืน ไปดูแล้วก็ไม่ค่อยมีแบบดีๆ สรุปแล้วเสียเวลาเปล่า คือการช้อปปิ้งพวกเสื้อผ้ากระเป๋าที่นี่เลยคิดไปเลยดีกว่า ขนาดร้านกระเป๋ายี่ห้อ crumper จากประเทศออสเตรเลียเอง ยังแพงกว่าซื้อที่ฮ่องกงหรือเมืองไทยอีก
...ได้เวลา 3 โมง ให้ทุกคนกลับมารวมตัวกันเพื่อไปเที่ยวต่อ เดินกันไปอาคารรัฐสภา เจอคนประท้วงหน้ารัฐสภาเหมือนเมืองไทยเลย ของเมืองไทยประท้วงกันเป็นล้าน แต่ที่นี่มีปู่แก่ๆมานั่งประท้วงอยู่ 1 คน แล้วก็เดินไปเที่ยวโบสถ์ เที่ยวสวนสาธารณะ เสร็จแล้วก็นั่งรถลางไปไกลออกนอกเมือง เพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกและดูนกเพนกวิ้น ช่วงที่กำลังต่อรถเพื่อไปนั่งรถสายที่ออกนอกเมือง ปรากฎว่าเป็นเวลาที่ตำรวจมาปิดถนนพอดี แผนการณ์เลยผิดพลาดไปหมด จะไปต่อรถที่จุดนั้นก็ไปไม่ได้เพราะปิดถนน เดินต่อไปหาสายอื่นๆ ทำไปทำมา กลายเป็นว่าเรามาอยู่กลางจุดที่เค้าปิดถนนรอบๆแถวนั้นทั้งหมด เพื่อเตรียมจัดงาน count down ตอนนี้เหนื่อยกันมาก ต้องเดินออกไปอีกไกลกว่าจะได้เจอรถ
...ไปถึง St’Kilda ประมาณทุ่มหนึ่ง ซึ่งยังเหลือเวลาอีกเยอะกว่าพระอาทิตย์จะตก เพราะฤดูร้อนของที่นี่พระอาทิตย์ตก เกือบสามทุ่ม เรามีเวลาชิวเดินเล่นถ่ายรูป เด็กจิ๋วขอกินไอติมด้วย เป็นรถตู้ขายซอฟครีม รสชาติแย่มาก แพงมากด้วย เราค่อยๆเดินตามสะพานท่าเรือออกไปจนสุด วันนี้ฟ้าเปิด เห็นพระอาทิตย์ตกสวยงามมาก หลังจากพระอาทิตย์ตก ก็นั่งรอนกเพนกวิ้นตัวจิ๋วกัน มันจะกลับเข้ามาตอนมืดๆหลังจากออกไปหาอาหารกัน ซึ่งบางวันกลับมามาก บางวันกลับมาน้อย วันนี้เราได้เจอแค่ 3 ตัว แต่ก็ได้เจอแบบระยะประชิด เด็กจิ๋วนั่งประจันหน้ากับเพนกวิ้นแบบระยะไม่ถึงเมตร ประทับใจมาก เป็นเพนกวิ้นพันธุ์ตัวเล็ก หน้าตาน่ารัก เจ้าหน้าที่จะคอยส่องไฟสีแดงให้นักท่องเที่ยวดู
...วันนี้โปรแกรมท่องเที่ยวอัดแน่นมาก กลับจากการดูเพนกวิ้นแล้ว ยังต้องไปดูพลุอีก เพราะวันนี้เป็นวันสิ้นปีพอดี เราวางแผนกันจะมา count down ที่นี่แหล่ะ จุดที่จะดูพลุ เราเลือกแถวริมแม่น้ำ เอาแบบว่าไม่ต้องเข้าไปใจกลางเมือง เพราะกลัวคนเยอะ เด็กจิ๋วหาย อันตรายหลายอย่าง ได้จุดย่านริมๆ CBD ของเมือง แถวนี้คนก็ยังเยอะมากอยู่ดี แต่คิดว่าถ้าใจกลาง CBD คงเหยียบกันแน่ๆ ตอนนี้ยังพอมีเวลา รีบหาอาหารกินกันก่อน ได้ร้านพลาสต้าในคาสิโน ราคาอาหารที่นี่แพงมาก แต่กินกันทั้งหมด 55 เหรียญเอง ถูกกว่าหลายๆมื้อ เพราะกลัวแพงเลยสั่งน้อย แบ่งกันกิน ก็อิ่มนะ ถูกด้วย เสร็จแล้วก็มานั่งรอดูพลุกัน เราไม่รู้กันเลยว่าพลุจะยิงจุดไหน เพราะไม่ใช่คนท้องที่ ได้แต่เดาๆเอา เห็นเค้ามานั่งรอแถวนี้ก็ตามๆเค้ามา พอได้เวลา ก็มีพลุยิงขึ้นท้องฟ้าจากตึกต่างๆ แต่ไม่อลังการเท่ากับที่คิดเอาไว้เลย มีน้อยมากๆ ไม่แน่ใจว่าเราอยู่ชานเมืองหรือที่ Melbourne เค้าจุดกันแค่นี้ ไม่เยอะเหมือน Sydney  
...ดูพลุเสร็จก็นั่งรถรางกลับโรงแรม ดีตรงที่ว่ารถรางเค้าบริการถึงเช้า แล้วก็ฟรีด้วย ฟรีตั้งแต่ตอน 5 โมงเย็นแล้ว ซึ่งโชคดีมาก เราเลยนั่งไปดูเพนกวิ้นฟรีไม่เสียตัง กว่าจะถึงโรงแรมตีหนึ่ง กว่าจะนอน ตี 3 ก็ต้องตื่นแล้ว รีบเดินทางไกลกลับไปที่สถานีรถ Bus นั่งรถไปสนามบินเพื่อบินไป Tasmania
วันที่ 4
...ที่สนามบิน Tasmania มีฝนตกแล้ว ไม่ต้องหวังฟ้าใสเลย แค่ขอให้ไม่มีฝนก็บุญแล้ว หลังจากวันนี้ก็ฟ้าปิดเกือบทุกวัน พยายามถามคนแถวนั้นว่าทำไมฝนตกช่วงนี้ ได้คำตอบว่าทุกวันนี้อากาศมันเลวร้าย ทำไมตกก็ไม่รู้ ไม่ได้มีพายุเข้าด้วย ระหว่างที่เราไปเที่ยวออสเตรเลีย อี๊ตุ๋มอี๊นกก็ไปเที่ยวนิวซีแลนด์ถึงไม่เจอฝนแต่ฟ้าก็ขาวมีเมฆเยอะเหมือนกัน
...ไปรับรถเช่าที่จองไว้ ได้ Misubishi Outlander ขับมุ่งหน้าขึ้น Mt.Wellington เราเช่า GPS + Car seat ให้เด็กจิ๋วด้วย ใช้การได้ดีทั้งคู่ แต่ตลก Carseat มากเลย มันทำมาจากโฟมล้วนๆ เหมือนโฟมที่รองทีวีอย่างงั้นเลย นั่งๆไปมีเศษโฟมหลุดออกมาด้วย แต่มันก็นั่งได้แถมยังเบาดีด้วย
...ที่ Mt.Wellington ลมแรงมาก แบบว่านั่งอยู่ในรถจอดอยู่ รถจะโดนลมพัดสั้นสะเทือนโยกไปมา เวลาลงจากรถก็เดินเซๆลมพัด หนาวด้วย คือลมที่ประเทศนี้มันจะมาพร้อมกับความเย็น วิ่งลงไปถ่ายรูปแป๊บๆก็ต้องรีบเผ่นขึ้นรถ เด็กจิ๋วนี่ไม่ได้ลงเลย นั่งอยู่ในรถอย่างเดียว มีฝนตกบ้างนิดหน่อย แต่ฝนที่นี่ตกแบบปรอยๆมาก เดินตากฝนได้เลย ขึ้นรถมาแป๊บเดียวก็แห้ง
...เสียดายที่ฟ้าปิด แต่ก็รู้สึกดีกับที่นี่นะ เพราะเห็นภูมิทัศน์ที่แปลกตามาก ไม่เคยเห็นที่อื่นมาก่อน ต้นไม้ก็หน้าตาประหลาด ลงมาจากเขาก็ขับรถต่อมุ่งหน้า Cradle Mountain ที่จริงแผนวันนี้จะต้องไปทุ่งลาเวนเดอร์ก่อน แต่ดูสภาพอากาศแล้ว ไปวันนี้ก็ไม่สวย รอลุ้นพรุ่งนี้ดีกว่าเผื่อฟ้าจะใสได้บ้าง ต้องขับรถนาน 5 ชั่วโมงเลย ไกลมาก ระหว่างทางแวะกินพายที่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง คือเมืองแต่ละเมืองที่ขับรถผ่าน จะเหมือนในหนังที่เราเคยดู เป็นเมืองเล็กๆที่มีถนนอยู่สายเดียว มีร้านค้านิดหน่อย แล้วก็หมด มีอยู่แค่นั้น ที่เมืองนี้ก็มีร้านอาหารอยู่ 2 ร้านได้ แต่ร้านหนึ่งปิด เหลือร้านพายอยู่ร้านเดียว คนแน่นมาก สงสัยมากว่าคนในเมืองนี้ทั้งหมดมากินอาหารที่ร้านนี้เหรอ แล้วกินแบบเดิมๆทุกวันเหรอ แต่รสชาดพายอร่อยดี
...ระหว่างทางขับรถไปยาวๆ ปะป๊าก็กินเชอร์รี่ องุ่น สตรอเบอร์รี่ที่ได้มาจาก Melbourne สักพักเกิดท้องเสียต้องรีบหาห้องน้ำโดยด่วน ซึ่งเป็นอะไรที่ยากมาก เราวิ่งอยู่บน highway จะมีป้าย exit อยู่เป็นระยะๆ ในป้ายจะมีรูปร้านอาหาร ห้องน้ำ information แต่เวลาเราขับออกตามป้าย exit ไปแล้ว เหมือนจะถูกหลอกให้เข้าไปในเมืองเล็กๆ ไม่มีผู้คน ไม่มีร้านค้า ขับหากันอยู่นาน ในที่สุดมาได้ห้องน้ำที่ร้านอาหารเล็กๆร้านหนึ่ง ในร้านมีพายอยู่แค่ 3 ชิ้นทั้งร้าน แต่การแวะออกมาจาก highway ก็ดีมากตรงที่ได้สัมผัสบรรยากาศท้องทุ่งจริงๆ คิดถึงเรื่อง Cars ทันที ถ้าขับ highway อย่างเดียวก็ไม่มีทางได้เห็นวิวแบบนี้ มีทุ่งดอกไม้ต่างๆ มีทุ่งดอกป๊อปปี้ กับทุ่งดอกเหลืองสวยมาก
...มาถึง Cradle Mountain ตอน 6 โมงเย็น ที่พักเราอยู่ใกล้ๆกับอุทยานเลย ชื่อว่า Discovery เป็น Cabin ภายในประหลาดมาก เปิดประตูเข้าไปเจอห้องครัว ขวามือมีเตียงนอนใหญ่กั้นด้วยผ้าม่านเล็กๆ ไมโครเวฟก็ไปอยู่ในส่วนห้องนอน ด้านซ้ายมีห้องนอนอีกห้อง เปิดไปเจอเตียง 2 ชั้น 2 เตียง แล้วมีห้องน้ำกับห้องส้วมอยู่ บ้านเราได้นอนเตียงใหญ่ อี๊กบอี๊นุ้ยนอนห้องเตียง 2 ชั้น ฉะนั้นเวลาเราจะไปห้องน้ำก็ต้องเปิดเข้าห้องนอนอี๊ๆ เด็กจิ๋วเจอเตียง 2 ชั้นก็สนุกสนานอีกแล้ว ไปปีนๆมุดๆอยู่ที่ห้องอี๊ๆจนเค้าไม่ได้หลับได้นอน กว่าจะเรียกกลับมาได้ต้องให้ปะป๊าโกรธถึงจะยอม
...ตอนนี้ฟ้ายังสว่างอยู่ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือก่อนพระอาทิตย์ตก แต่ว่าไม่รู้จะไปไหน เพราะฝนตกปรอยๆ ฟ้าปิดมากๆ ลองไปถามดูว่าจะเข้าอุทยานตอนนี้ได้ไม๊ คำตอบก็คือเข้าได้แต่ต้องเสียค่าเข้าประมาณ 1800 บาทต่อรถหนึ่งคัน ซึ่งคุณแม่แอบรู้มาว่าถ้าเราเข้าอุทยานตอนเช้าตรู่จะเข้าได้ฟรีไม่ต้องเสียตัง ว่าแล้วก็ตัดสินในไม่เข้าอุทยานวันนี้ ไปเดินแถวๆรอบๆนั้น ซึ่งมีน้ำตก แล้วก็มีทุ่งหญ้าหน้าตาประหลาดๆ สวยดีเหมือนกัน ฝนยังคงตกอยู่เรื่อยๆ
วันที่ 5
...ตอนกลางคืนฝนตกหนักมาก ลมแรงแบบว่าน่ากลัวต้องตื่นขึ้นมา นึกว่ามีอะไรเกิดขึ้น ตอนเช้าไม่หวังดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ปะป๊ากับคุณแม่ออกจากบ้านตอน 6 โมงเช้า ทิ้งเด็กจิ๋วไว้กับอี๊กบอี๊นุ้ย ขับรถเข้าอุทยานซึ่งพอขับรถเข้าไปผ่านไม้กั้น ไม้กั้นก็ยกให้เอง คือเข้าฟรีจริงๆ แต่สงสัยว่าถ้ายอมเสียเงินซื้อค่าเข้า จะเอาบัตรไปโชว์ใคร เพราะทั้งวันก็ไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่เลย สงสัยใช้ความซื่อสัตย์มั้ง ขับรถเข้าไปถึง Dove Lake เป็นจุดที่ตั้งใจจะมาดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ว่า เกือบ 7 โมงแล้ว ฝนยังตกอยู่เลย วิ่งลงไปถ่ายรูปแว๊ปเดียวก็ต้องรีบขึ้นเพราะหนาวมาก แต่ตอนขับรถออกมาจาก Dove Lake ฟ้าเริ่มเปิดซะงั้น พอเปิดแล้วเห็นฟ้าเป็นฟ้าเลย แต่ก็เป็นหย่อมๆ คือเดาว่าที่นี่ลมแรงมาก ฉะนั้นลมจะพัดเมฆไปมาได้อย่างรวดเร็ว อากาศเลยเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ไม่กี่นาทีจากฝนตกกลายเป็นฟ้าใสเฉยเลย เห็นฟ้าเป็นใจบ้าง เราเลยรีบกลับไปตามเด็กจิ๋วกับอี๊ๆพากันขับรถเข้ามาเที่ยวในอุทยานใหม่อีกรอบ ซึ่งตอนเข้ามาอีกทีก็เจอฝนสลับกับฟ้าเปิดเป็นหย่อมๆ แล้วแต่โชคจริงๆ ที่ Lake ไม่สวยเลย เสียใจมากๆ ทั้งๆที่จุดนี้ถ้าฟ้าเปิดจะสวยมาก เป็น mirror lake
...ออกจาก Cradle Mountail กันเกือบ 11 โมงแล้ว สายไปกว่ากำหนดการณ์มาก เพราะเสียเวลาเข้าอุทยาน 2 รอบ ต้องรีบมุ่งหน้าไปทุ่งลาเวนเดอร์ ระหว่างทางเจอกับวิวสองข้างทางแบบว่าอารมณ์เหมือนนิวซีแลนด์ เป็นทุ่งหญ้ามีแกะ วัว อาปาก้าก็มี แล้วก็มีทุ่งดอกหญ้าสีเหลืองๆตามพื้น วันนี้ฟ้าเริ่มเปิดบ้างแล้วด้วย ที่เราสลับวันมาลาเวนเดอร์วันนี้ก็ถูกต้องแล้ว
...มาถึงทุ่งลาเวนเดอร์ประมาณบ่าย 2 ตอนนี้ฟ้าใสสุดๆ บนท้องฟ้าไม่มีเมฆเลย มันช่างต่างจากเมื่อเช้าอะไรอย่างนี้ ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ที่ Cradle ฟ้าใสแล้วหรือยัง ที่ทุ่งลาเวนเดอร์สวยมาก สมใจคุณแม่ที่ตั้งหน้าตั้งตาเลือกมาที่นี่โดยเฉพาะ แล้วช่างพอดีกับที่ว่าฟ้าใสมาก ทั้งๆที่วันก่อนหน้านี้ รวมถึงวันหลังจากนี้ฟ้าค่อนข้างปิดหมด เราเพลิดเพลินอยู่กับทุ่งลาเวนเดอร์นานมาก เด็กจิ๋วก็ให้ความร่วมมือในการถ่ายรูปเป็นอย่างดี อยู่ดีๆก็มาร้องเต้นเพลงพริกขี้หนูกลางทุ่งลาเวนเดอร์ด้วย
...จากทุ่งลาเวนเดอร์ก็มุ่งหน้าสนามบิน บินกลับ Melbourne ไปถึงตอนหัวค่ำ แต่คราวนี้ไม่ต้องเข็นกระเป๋าเดินไกลแล้ว เพราะหารถ Shuttle bus พาไปส่งถึงโรงแรมเลย รีบเก็บของแล้วออกไปหาอาหารกินกัน วันก่อนเดินช้อปปิ้งผ่านร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่ใกล้ๆที่พัก วันนี้เลยรีบเดินไปตั้งหน้าตั้งตาจะกินข้าวให้ได้ อดอยากมานาน กินแต่หนมปัง พิซซ่า สปาร์เก็ตตี้ กว่าจะเดินไปถึงร้านตอนเกือบๆสี่ทุ่ม ร้านก็ปิดไปแล้ว เจอแต่ร้านอาหารจีน เลยจัดกันไปทั้งข้าว ทั้งบะหมี่ หายอดอยากไปได้วันหนึ่ง
วันที่ 6
...เช้านี้ปะป๊ากับคุณแม่อาสาเดินจากโรงแรมไปรับรถเช่า ทิ้งเด็กจิ๋วไว้กับอี๊ๆ ระยะทางดูจากแผนที่แล้วเหมือนจะไกล ประมาณ 5 block แต่เดินเข้าจริงๆแล้วใกล้มาก เพราะทิศนี้ Block หนึ่งจะสั้นกว่าอีกทิศ ซึ่งจุดที่ไปรับรถก็อยู่ใกล้ๆกับตลาด Queen Victoria Market แบบว่าเดินไปอีกแค่ block เดียวก็ถึง วันแรกที่พยายามเดินทางมากันใช้เวลา 2 ชั่วโมงได้ เสร่อมากๆ
...ขับรถที่นี่ตื่นเต้นพอสมควร เพราะเลนส์ส่วนใหญ่จะใช้ไปกับรถราง เลนส์รถวิ่งมีน้อยมาก แล้วเวลาเลี้ยวขวาจะไม่ได้ชิดขวาแล้วเลี้ยวธรรมดา รถที่จะเลี้ยวขวาต้องทำ Hook Turn คือขับชิดซ้ายแทน พอไฟเขียวก็ให้ขับไปจอดเฉียงๆไว้หน้ารถที่จะพุ่งมาจากทางซ้ายมือ แล้วพอไฟอักฝั่งเขียวก็รีบออกตัวไปก่อน แบบนี้มันคล้ายๆท่าลักไก่ของเมืองไทยเลยอ่ะ
...ก่อนออกเดินทางจาก Melbourne เราขอทิ้งทวนด้วยการไปช้อปที่ตลาด Queen Victoria อีกรอบ จัดเชอร์รี่ สตราเบอร์รี่ องุ่นมาเต็มที่ เอาไว้กินระหว่างเดินทาง ซึ่งการขับรถมาที่ตลาดวันนี้ ทำเอาอี๊ๆแปลกใจกันใหญ่ ว่าทำไมมันมาง่ายดายจัง ไม่เหมือนวันแรกที่ต่อรถผิดไปมาเดินแทบตาย ที่จริงแล้วระยะทางจากโรงแรมมาที่ตลาดนี้มันแค่ประมาณจากบ้านเราไปสี่แยกประชานุกูลเอง ขับตรงๆแป๊บเดียวเท่านั้น
...วันนี้เราเดินทางบนเส้นทาง Great Ocean Road เสียดายที่ฟ้าปิดอีกแล้ว ตอนนี้พยายามให้คุณแม่หาฟาร์มที่สามารถ pick up เชอร์รี่ให้หน่อย คิดกันเอาเองว่าที่ตลาด Melbourne ขายถูกมาก แถวนี้น่าจะมีสวนเชอร์รี่อยู่เยอะ ซึ่งที่จริงแล้วเราจะต้องแวะกันที่ Tasmania ซึ่งขึ้นชื่อเรื่อง U Pick Cherry มาก มีคนบอกว่าขับรถไปก็จะเจอข้างทางเรื่อยๆ แต่เอาเข้าจริงๆ มันไม่มีนะ ต้องขับแยกออกไปทางอื่น ซึ่งเวลาก็ไม่พอเลยไม่ได้ไป คุณแม่ลองหาฟาร์มแถวๆนี้ดู มีแต่ Berry Pickup ไม่มีเชอร์รี่ เราก็เลยเอา ลองดูแล้วกัน ขับแยกออกไปจากเส้น Great Ocean Road ไม่ไกล ตอนแรกก็เหมือนท่าทางจะดีนะ แต่พอเดินเข้าไป เจอกับฝูงแมลงวันเยอะมาก มีร้านกินหนมอยู่ที่ฟาร์ม คนนั่งกินอาหารไป ในจานอาหารก็มีแมลงวันเป็นร้อย ไม่ได้เกาะแต่ที่โต๊ะอาหารนะ ระหว่างเดินอยู่ในฟาร์มก็มีบินเกาะเต็มหลัง ชนหน้าไปมา สร้างความรำคราญมากๆ เกิดคำถามขึ้นว่าที่นี่เมืองหนาว มีแมลงวันด้วยเหรอ แล้วแมลงวันที่นี่ไม่สกปรกเหมือนที่เมืองไทยหรือไง คนที่นี่ถึงรักใคร่มันมาก
...ฟาร์มนี้ที่จริงแล้วได้ข้อมูลมาจาก Information centre เจ้าหน้าที่บอกว่าที่นี่เด็ดมาก มาถึงจริงๆแล้วเราว่าโดนหลอกอ่ะ สตรอเบอร์รี่ก็มีนะ แต่ไม่มีลูกที่สามารถเก็บได้เลย คิดว่าเจ้าของฟาร์มคงมาเก็บไปหมดแล้ว เหลือแต่เน่าๆ หรือยังไม่สุกไว้ ส่วนเบอร์รี่อื่นๆก็มีนะ พวกราสเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ แต่กินกันไม่เป็น มันก็เปรี้ยวๆอ่ะ ต้องเอาไปทำเป็นหนมหรือปั่นน้ำก่อนถึงจะกินได้ เด็กจิ๋วถือตะกร้าเด็ดเบอร์รี่มาหลายลูก สนุกเลยนะ ต้องรีบหยิบแอบมากินให้หมด ไม่งั้นเอาไปจ่ายตังแพงแน่ๆ ดีที่ไม่ต้องเสียค่าเข้านะเนี่ยะ
...จุดต่อไปเป็นป่ายูคาลิปตัสที่เค้าบอกว่ามีโคล่าอยู่ เราขับรถเข้าไปด้วยความรู้สึกว่ามันจะเห็นจริงเหรอ มันคงหายากเหมือนเวลาเข้าป่าดูนก แต่ขับเข้าไปสักพักก็เจอรถจอดข้างทางอยู่เต็มเลย คนลงไปดูอะไรกัน รีบจอดรถแล้วลงไปดูตามบ้าง โคล่าจริงๆด้วย ณ จุดที่เราจอดรถ มีอยู่ 4-5 ตัว มีตัวหนึ่งมีลูกน้อยเกาะหลังอยู่ด้วย เราตามดูกันอย่างใกล้ชิด สักพัก ตัวที่มีลูกเกาะก็ปีนลงมาที่พื้น เดินไปหาต้นใหม่ขึ้น พวกเราก็สามารถเดินตามได้อย่างระยะประชิดประมาณ 1 เมตร ดูกันอยู่นาน แบบว่าฟินสุดๆ มันอยู่กันในป่าตามธรรมชาติด้วย ไม่ใช่ไปดูในสวนสัตว์ หลังจากนั้นก็เห็นมีรถจอดดูเป็นระยะๆ สงสัยจะมีเยอะจริงๆ นี่ขนาดต้นไม้บริเวณริมถนนนะ ที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าก็น่าจะมีอีกเยอะ
...เย็นนี้ขับรถกันมาถึงที่ 12 Apostle รีบเข้าที่พักก่อน เป็น Bed&Breakfast เจ้าของเป็นลุงป้าคู่หนึ่ง ทุกคนประทับใจกับที่พักคืนนี้มาก รู้สึกจะมีแค่ 3 ห้องนอน แต่วันนี้มีแขกพักเป็นพวกเราห้องเดียว นอกจากบ้านจะสวยงามแล้ว ยังมีบริการผลไม้สด ช็อกโกแล็ต เค้กแล้วก็ชายามบ่ายให้ด้วย เสียดายไม่มีเวลาดื่มด่ำบรรยากาศมากนัก ต้องรีบออกไปดูจุดชมวิวที่ 12 Apostle วันนี้ฟ้ายังคงปิดอยู่ดี ถ่ายรูปออกมาได้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ตาคนไปดูก็รู้สึกประทับใจ เพราะเป็นอะไรที่ไม่เห็นกันง่ายๆ แท่งหินขนาดใหญ่ คลื่นแรงๆ ลมก็แรง แรงแบบว่าพัดอี๊นุ้ยล้มเลย ชมวิวกันอยู่แป๊บก็ไปหาข้าวเย็นกินที่เมืองเล็กๆแถวนั้น กินเสร็จก็กลับมาชมวิวพระอาทิตย์ตกใหม่ที่เดิมอีกรอบ แล้วถึงกลับเข้าที่พักตอนค่ำ บริเวณบ้านที่เราพักมืดมากๆ ปกติถ้าเป็นบ้านเราตอนกลางคืน ถึงแม้จะไม่มีไฟ แต่ก็จะมีแสงจันทร์ แสงดาว แต่ที่บ้านพักนี่ตอนกลางคืนออกมาหยิบของที่รถ ตกใจเลย ขนาดมีแสงไฟจากบ้านแล้วช่วยด้วยนิดหน่อยแล้ว แต่นอกบ้านมึดมาก มึดแบบมองอะไรไม่เห็นเลย แบบว่าน่ากลัวมากอ่ะ เพราะไม่เคยเจอบรรยากาศแบบนี้มาก่อน คาดว่าเป็นเพราะฟ้ามีเมฆมากไม่เห็นแสงจันทร์แสงดาว
วันที่ ๗
...เช้ามึดพากันออกไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวที่เดิม คราวนี้ต้องเตรียมการไปอย่างดีหน่อยเพราะลมแรงและหนาวมาก ต้องใส่ชุดให้จิ๋วหลายๆชั้น  แล้วเอาผ้านวมของป้าพันทับไปอีกรอบแล้วแบกกันไปทั้งหลับๆยังงั้น ดูพระอาทิตย์ขึ้นจนเสร็จแล้วเด็กจิ๋วก็ยังไม่ตื่น จนพากลับไปบ้านก็ไปนอนต่ออีก
...กลับมาถึงบ้าน ก็เจออาหารเช้าที่ห้าเตรียมไว้ให้ มีไข่ดาว แฮม ไส้กรอก น้ำผลไม้ เค้ก โยเกิร์ต อาหารอร่อยดี ปะป๊าชอบโยเกิร์ตใส่ผลไม้ที่สุด แต่เด็กจิ๋วไม่ได้กินเพราะไม่ยอมตื่น ขนาดว่าไปอุ้มจากเตียงมาวางที่ห้องกินข้าว ก็ยังไม่ยอมตื่นอยู่ดี สุดท้ายต้องกรอกนมใส่ขวดเอาไปให้กินในรถ
...ใกล้ๆกับที่พักเห็นมีเหมือนสวนสัตว์เล็กๆอยู่อันหนึ่ง ถามป้าเจ้าของบ้านที่เราพักว่าดีไม๊ ป้าก็บอกว่าไม่ค่อยดี แต่ลองไปดูก็ได้ เดี๋ยวนี้อาจจะปรับปรุงขึ้นแล้วก็ได้ พอไปถึงแล้วก็ไม่ดีจริงๆด้วยแหล่ะ เป็นสวนสัตว์แบบโง่มาก แต่ก็ยังดีที่ได้เห็นจิงโจ้ ซึ่งถ้ามาออสเตรเลียแล้วไม่ได้เห็นจิงโจ้สักกะตัวมันจะกระไรอยู่ มีปะป๊าได้เห็นอยู่คนเดียว วันที่ไปเดินที่ Cradle Mountain ตอนหัวค่ำ อันนั้นเดินไปคนเดียว เจอจิงโจ้นั่งอยู่กลางทาง หน้าประจันกันเลย จิงโจ้ตกใจกระโดดหนีไป เราเองก็ตกใจกลัว รีบจ้ำกลับบ้านเหมือนกัน นอกจากจิงโจ้ก็มี วัลลาบี ซึ่งหน้าตาคล้ายจิงโจ้มาก หมาดิงโก้ วอมแบท กวาง ม้า แล้วก็อย่างอื่นอีกนิดหน่อย ค่าเข้าคนละ 11 เหรียญ
...วันนี้ต้องขับรถไกลอีก ออกจากที่พักก็แวะจุดชมวิว London Bridge แล้วก็ขับรถมุ่งหน้าไป Adelaid ซึ่งระหว่างทางไม่มีจุดให้แวะเลย ขับอย่างเดียว ไปถึงก็เข้าโรงแรมนอน แล้วอีกวันก็บินกลับบ้านกัน