วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

เด็กจิ๋ว@เกาะเต่า

...เมื่อคืน ปะป๊าบอกเด็กจิ๋วว่าให้รีบนอน พรุ่งนี้เราจะตื่นแต่เช้าไปเที่ยวกัน เด็กจิ๋วเป็นเด็กดี
มากเลย ได้ยินปั๊บก็หันไปกอดหมีหลับตาแล้วก็หลับไปเลย ตอนเช้าออกจากบ้านกันตั้งแต่
ตีห้า เด็กจิ๋วตื่นตอนจับนั่งรถ แต่พอนั่งไปได้สักพักก็ยอมหลับต่อได้ ไปถึงชุมพรเที่ยงๆ แวะ
กินข้าวกลางวันที่ร้านลุย พอเข้าไปในร้านก็คุ้นมาก คาดว่าเคยมากินร้านนี้แล้วสมัยที่ปะป๊า
กับคุณแม่เคยมาเที่ยวเมื่อหลายปีก่อนเด็กจิ๋วจะเกิด เราสั่งกุ้งอบวุ้นเส้น หอยขาวผัดพริกเผา
ปลาหมึกหวาน แล้วก็ใบเหลียงผัดไข่ ใบเหลียงเนี่ยะเป็นผักท้องถิ่นแถวนี้ เคยสั่งที่กรุงเทพๆ
กิน ไม่ได้เลย แข็งๆสากๆเหมือนกินหญ้า ของที่ชุมพรจะนิ่มๆอร่อยกว่ามาก ให้เด็กจิ๋วกินไข่
ที่อยู่ในผัดใบเหลียง กับกินวุ้นเส้นไปนิดหน่อย
...กินเสร็จก็ไปขึ้นเรือกัน เป็นเรือกาตามารันของบริษัทเรือเร็วลมพระยา เป็นเรืองสปีดโบท
แต่ลำใหญ่มาก จุได้เกินร้อยคน วิ่งเร็วแล้วก็นิ่งมาก ที่นั่งจะเป็นเบาะเรียงเป็นแถวๆเหมือน
เครื่องบิน แต่ทางเดินระหว่างแถวจะกว้างหน่อย ซึ่งมันดึงดูดเด็กจิ๋วมาก ไม่ยอมนั่งเบาะตัว
เอง ไปยืนอยู่กลางทางเดินนั่นแหล่ะ พอมีคนเดินมาก็หลบ พอเค้าเดินผ่านไปก็ออกมายืน
ขวางทางใหม่ มันเป็นการละเล่นอะไรเนี่ยะไม่เข้าใจจริงๆ ในเรือมีฝรั่งอยู่ 90% ได้ แต่ละคน
จะแบกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆเข็นบ้าง ลากบ้าง แล้วทุกคนจะต้องเดินผ่านทางที่เด็กจิ๋ว
ยืนขวางไว้เนี่ยะแหล่ะ ยืนแกล้งขวางทางชาวบ้านอยู่สักพักก็เริ่มเบื่อ หันไปสนใจเด็กผู้หญิง
คนหนึ่ง น่าจะแก่กว่าเด็กจิ๋วปีหนึ่ง ไปยืนจ้องหน้า ประมาณว่าจะขอเล่นด้วย แต่ไม่ยอมพูด
จ้องอยู่นาน สักพัก ไปทำตัวเนียนกลมกลืนกับบ้านนั้นซะ ไปกินกล้วยกับเค้า กินหนมเค้าอีก
แต่เด็กจิ๋วใจดี กลับมาขอหนมไปแบ่งพี่กินบ้าง เล่นกับพี่อยู่เป็นชั่วโมงเลย ดีแล้วล่ะ จะได้ไม่
เบื่อ พี่เค้าก็ชวนเล่นสไลเดอร์ ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้แล้วไหลตัวลงมา เด็กจิ๋วก็ทำตาม แล้วก็มีนั่ง
คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว เราเห็นแล้วก็รู้สึกอุ่นใจ แบบนี้ไปโรงเรียนมีเพื่อนเล่นแน่ ไม่เหงาแล้ว
แล้วน่าจะเล่นกับเพื่อนได้ดี ไม่ไปตบตีเค้า ปะป๊าพยายามแอบฟังบทสนทนาของเด็กสองคน
ได้ยินประมาณว่า พี่เค้าโม้ให้ฟังว่าที่เกาะเต่า มีปลาฉลามตัวใหญ่กระโดดขึ้นมา แล้วก็มีตัว
นั้นตัวนี้ แล้วก็ได้ยินเด็กจิ๋วบอกพี่เค้าว่าตัวเองชื่อ พริมาหมวกแดง เค้าคงจะงงอยู่นะ มีตอน
หนึ่ง เล่นอะไรกันแล้วขัดใจไม่รู้ เด็กจิ๋ววิ่งไปงอนพี่ที่มุมหนึ่ง ปะป๊าดูแล้วว่าพี่เค้าไม่รู้ว่างอน
นะแล้วใครจะไปง้อล่ะ เลยแกล้งบอกพี่เค้าว่าเด็กจิ๋วเล่นซ่อนแอบ ให้ไปจ๊ะเอ๋ หลังจากนั้นก็
เล่นจ๊ะเอ๋กันอีกนานเลย
...ที่ฝั่งก่อนขึ้นเรือเจอฝนตก ตอนลงจากรถลากกระเป๋าเดินสะพานไปขึ้นเรือไกลมาก ปะป๊า
ต้องเดินตากฝน ส่วนคุณแม่กับเด็กจิ๋วกางร่มกันไป แต่พอเรือออกไปได้หน่อยฝนก็ไม่มีแล้ว
เรือวันนี้วิ่งนิ่มจริงๆ เค้าบอกว่าถ้าฝนตกจะไม่มีคลื่น ทะเลนิ่ง เพิ่งรู้เหมือนกันแหะ
...พอไปถึงฝั่งก็มีคนจากรีสอร์ทมารับ นั่งรถไปไม่กี่นาทีก็ถึงรีสอร์ท ห้องพักที่เราได้มาราคา
ประมาณคืนละ 4-5 พัน แต่เราใช้แต้มบัตรเครดิตแลก 1000 แต้ม คือเรียกว่าได้ฟรีเลยก็ว่า
ได้ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องวิวสวยมาก ซึ่งมาเห็นแล้วก็ว่าสวยจริงๆ แต่ตัวห้องพักนี่ไม่ไหว พอมาถึงก็
ถามเด็กจิ๋วเลยว่าชอบรีสอร์ทนี้ไม๊ เด็กจิ๋วตอบว่า “ไม่ชอบ มันน่าเกลียด” เด็กมันยังดูออกเลย
แหะ ที่ว่าน่าเกลียดก็เพราะมันตกแต่งแนว Mix & No Match บ้านไม้เหม็นอับ ตกแต่งด้วยผ้า
ลายดอกแจ่มๆ ผ้าม่านโมเดิร์นสีเขียวแวววาว เตียงใหญ่มาก เต็มพื้นที่ห้อง ไม่มีพื้นที่นั่งเล่น
ในตัวห้องนอนได้เลย ห้องน้ำใหญ่มากๆๆๆ ใหญ่กว่าห้องนอน มีโถชำระ 3 อัน จะเยอะไปไหน
น้ำเอื่อยมาก เพราะที่เกาะนี้คาดแคลนน้ำ เค้าบอกว่าถ้าฝนไม่ตก 15 วัน จะไม่มีน้ำใช้บนเกาะ
ห้องนี้มีดีอย่างเดียวคือที่ระเบียง วิวดีมาก ที่จริงตอนแรกเราจะอยู่ห้องนี้วันหนึ่ง แล้วอีกวันจะ
Upgrade เป็นห้องแพงเพิ่มอีก 4000 บาท จะได้ห้องใหญ่ขึ้นแล้วก็วิวสวยขึ้น แต่เราไปสำรวจ
ดูแล้ว ห้องที่ใหญ่ขึ้นมันคือส่วนห้องน้ำ ที่ใหญ่อยู่แล้ว ใหญ่ขึ้นไปอีก ห้องนอนเท่าๆเดิม แล้วที่
สำคัญคือห้องตกแต่งสไตล์น่ากลัวสุดขีด เตียงเป็นบัลลังก์จ้างนาง ตู้โต๊ะก็เป็นแบบของเก่า ไม่
รู้เก่าจริงเก่าปลอม ที่ทางเดินมีรูปปั้นคนยืนไหว้อยู่ ดูไปดูมา เอ นี่มันสไตล์พม่าชัดๆ คนงานที่
นี่ก็เป็นพม่าเกือบ 100% ทำให้คิดไปว่า รีสอร์ทนี้คงให้คนงานที่เป็นพม่ามาสร้างบ้านพักแล้ว
ก็ตกแต่งไปกันเองตามใจชอบ บ้านที่ได้ออกมามันเลยดูเละเทะยังไงไม่รู้ บ้านนี้มีอีกอย่างที่ไม่
ไหวคือ เวลากลางคืนจะไปอาบน้ำที ต้องเดินออกจากห้องนอน ผ่านเทวรูป 4 ตัว เดินเข้าไปอีก
เรือนหนึ่ง ทะลุเข้าไป 3 ชั้นถึงจะเจอห้องอาบน้ำ เป็นอะไรที่สยองสุดๆ ถึงแม้ว่าวิวจะดีจริง แต่
ก็ตัดสินใจไม่ย้ายแล้ว อยู่ห้องเดิมไปดีกว่า คือที่นี่เค้าเน้นฝรั่งจริงๆ แต่งแบบนี้คงมีแต่ฝรั่งที่พอ
จะชอบบ้าง เรามาที่รีสอร์ทนี้ก็เจอแต่ฝรั่งเป็นส่วนใหญ่ เจอคนไทยแค่ 2 ห้อง
...เย็นๆพาเด็กจิ๋วไปเล่นทราย ที่รีสอร์ทนี้จะครอบคลุมบริเวณของอ่าวจันสม คนข้างนอกเข้า
มาไม่ได้ แต่หาดนี้ทรายแย่มากๆ เป็นเหมือนกรวดตู้ปลามากกว่า เดินก็เจ็บเท้า เล่นก็ไม่สนุก
เล่นกันอยู่ไม่นานก็พากันไปอาบน้ำ แล้วไปห้องอาหาร
...ห้องอาหารเย็นที่นี่วิวสวยมาก เห็นวิวพระอาทิตย์ตก เราไปสั่งอาหารกันแต่รอนานไปหน่อย
เด็กจิ๋วหิวมาก ตะโกนออกมาว่า “ถ้าข้าวไม่มา พริมจะกระโดดลงทะเลแล้วนะ พริมจะกินก้อน
หิน” ตะโกนไปข้าวก็ยังไม่มาซะที เลยเปลี่ยนไปนอนรอแทน แล้วบอกว่า “ถ้าข้าวมา น้องพริม
จะตื่นทันที” แต่อาหารที่นี่อร่อยจริง เราสั่งข้างผัดสัปรด ใบเหลียงผัดไข่ แล้วก็ผัดไทย อร่อยทุก
จาน ตอนแรกผัดไทยมาก่อน เด็กจิ๋วยัดๆเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย แต่พาข้าวผัดมาถึง เด็กจิ๋วก็
คายผัดไทยที่อยู่ในปากแล้วพุ่งตัวไปหาข้าวผัดแทน เด็กจิ๋วพอได้อาหารเข้าไป เริ่มอิ่มแล้ว ตาม
มาด้วยอาการง่วง เพราะไม่ได้นอนกลางวัน ง่วงทีไรก็อาละวาดทุกที คุณแม่เลยต้องพาเด็กจิ๋ว
กลับห้องไปก่อน ปะป๊าถ่ายรูปแล้วก็กินข้าวต่อแล้วค่อยตามกลับไป คุณแม่บอกว่าตอนที่แบก
เด็กจิ๋วเดินขึ้นบันไดจากห้องอาหารมา เหนื่อยมาก พอขึ้นมาถึง เด็กจิ๋วพูดว่า “น้องพริมเดินต่อ
เองก็ได้ น้องพริมเป็นเด็กดี”...คุณแม่ซาบซึ้ง เกิดเป็นเด็กดีขึ้นมา ว่าแล้วก็เดินเองต่อมาจนถึงที่
ห้องพัก
...ตอนกลางคืนนอนกันไม่ค่อยหลับ มีกลัวผีนิดหน่อย แล้วก็เตียงไม่ค่อยดี นอนๆอยู่ ปะป๊ากับ
คุณแม่นอนซ้ายขวาแล้วให้เด็กจิ๋วนอนตรงกลาง พอดึกๆหน่อย เด็กจิ๋วพลิกตัวมานอนขวางซะ
มันเปลืองพื้นที่อ่ะเข้าใจไม๊ แต่ก็ยังไม่เท่ากับว่าตอนละเมอ คือเด็กจิ๋วหันหัวมาทางปะป๊า แล้ว
หันเท้าไปทางคุณแม่ ที่นี้เกิดฝันร้ายอะไรไม่รู้ ตีขา ถีบคุณแม่ปักๆปักๆ จุกไปเลย
...ตอนเช้าเด็กจิ๋วตื่น 8 โมง ไปกินข้าวเช้ากัน ที่นี่จุดเด่นคือนั่งกินข้าวเช้าชมวิว คนส่วนใหญ่
จะนั่งกินที่บาร์หันหน้าออกทะเล ไม่ได้นั่งเป็นโต๊ะๆ อย่างที่บอกว่าที่นี่มีแต่แขกฝรั่ง เด็กจิ๋วไป
นั่งจ้องหน้าฝรั่งผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้านอาหาร จ้องอยู่นานมากจนรู้สึกว่าเสียมารยาทแล้ว
...กินข้าวเช้าเสร็จเราก็เดินมาที่ล็อบบี้ นัดรถมารับไปเที่ยวรอบเกาะ รถแท็กซี่ของที่นี่ก็คือรถ
กระบะ แล้วต้องเป็นขับเคลื่อนสี่ล้อด้วย เพราะทางที่นี่ชันแล้วก็เละมาก ค่าเช่าเหมาทั้งวันก็
1500 แต่รู้สึกทางรีสอร์ทจะบวกค่าติดต่อเพิ่มอีก 300 บาท รถของคุณลุงที่มารับสภาพโทรม
แล้ว แอร์ก็ไม่เย็น แต่คุณลุงคนขับก็โอเคใช้ได้ พูดคุยดี มีแว๊บไปรับผู้โดยสารคนอื่นบ้างแต่ก็
ไม่เป็นไร
...จุดแรกที่ลุงพาไปคืออ่าวตะโหนด วันนี้แดดร้อนมาก ออกกลางแดดแล้วตัวจะละลาย โชค
ดีที่นี่เจอร้านเพิงไม้อยู่ร้านหนึ่ง วันนี้ไม่ได้เปิดเพราะเป็นช่วง low season เราเลยยึดหัวหาด
เอาเป็นที่ให้คุณแม่กับเด็กจิ๋วนั่งเล่น ส่วนปะป๊าก็เดินออกไปถ่ายรูป แดดร้อนทำเอาเกือบจะ
เป็นลม รู้สึกว่าทำไมเกาะเต่าถึงสวยอย่างนี้ คุณแม่ไม่เคยมา เคยมาเป็นทางผ่านไปนางยวน
ส่วนปะป๊าเคยมาแล้ว แต่เคยทัวร์รอบเกาะแบบดำน้ำ ซึ่งจะอยู่ในเรือแล้วแว่ะดำน้ำตามจุด
ต่างๆ ไม่ได้เดินขึ้นหาดมาดูวิวสวยๆ
...ออกจากอ่าวตะโหนดจะมีร้านขายน้ำร้านหนึ่ง คุณลุงแวะให้ขอเข้าไปถ่ายรูป วิวมุมสูงก็
สวยใช้ได้ จุดที่สองต่อมาคืออ่าวลึก ถามคุณลุงว่าอ่าวไหนสวยที่สุด คุณลุงก็บอกว่าอ่าวลึก
นี่แหล่ะ พอมาถึงแล้วสวยมากจริงๆ ที่นี่ดีหน่อยมีร้านอาหารให้นั่งพัก จากร้านอาหารมอง
ลงไปที่หาด สวยมากจริงๆ น้ำก็สีสวย ถามคุณลุงว่าทำไมแถวนี้มีแต่ฝรั่ง คนไทยก็ไม่ค่อย
รู้จัก ลุงบอกว่าคนไทยสวนใหญ่อยู่กันแต่ที่ทรายรี พวกตะโหนดหรืออ่าวลึกมันจะอยู่อีกฝั่ง
หนึ่งของเกาะ เดินทางไกล ยากหน่อย แล้วก็ลุงบอกว่าคนไทยกลัวแดด คือเหมือนว่าที่อ่าว
นี้มันร้อนมากจริงๆ ไม่ค่อยมีสิ่งปลูกสร้าง มีแต่หาดทรายโล่งๆ ที่ร้านนี้เรานั่งกันนานหน่อย
สั่งสัปรดปั่นกับแตงโมปั่นมานั่งกินชมวิว เด็กจิ๋วไปขออุลตร้าแมนของเด็กแถวๆนั้นมาเล่น
ด้วย ก็เพลินไปได้นานเลย
...จุดที่ 3 คือร้านอาหาร New Heaven จากร้านนี้จะเป็นวิวอ่าวเทียนออก สวยมากเหมือน
กัน ถ้าจะให้ดีต้องไปนั่งที่ระเบียงของร้านชมวิว แต่ว่ากลางวันแสกๆแดดร้อนมาก คนไทย
อย่างเรากลัวแดด ไม่สามารถจริงๆ มีแต่ฝรั่งนั้นแหล่ะ ไปนั่งระเบียงกินข้าวชมวิว คือเค้ามี
ร่มใหญ่กางให้นะ แต่ก็ยังมีไอแดดร้อนอยู่ดี อาหารที่ร้านนี้ไม่ค่อยอร่อย เน้นวิวซะมากกว่า
...จุดที่ 4 หลังจากกินข้าวเสร็จ คุณลุงพาไปอ่าวโฉลกบ้านเก่า อ่าวนี้ไม่ค่อยสวย น้ำขึ้นสูง
มากแถบจะไม่เหลือหาดทรายแล้ว แต่ทรายที่นี่ขาวใช้ได้แล้วก็ละเอียด ไม่เหมือนพวกอ่าว
ลึกกับอ่าวตะโหนดที่ทรายเป็นกรวดๆ เล่นไม่ได้ ซึ่งอาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่คนไทยไม่มา
กันแถวนี้ เราปล่อยเด็กจิ๋วเล่นทรายอยู่ปั๊บหนึ่ง แต่ไม่ให้ลงทะเลเพราะแดดยังแรงอยู่
...จุดที่ 5 คือหาดทรายรี หาดยอดนิยม มีรีสอร์ทจับจองพื้นที่ริมหาดทรายยาวตลอด มีทาง
เดินลงหาดแบบสาธารณะอยู่นิดเดียว หาดนี้ไม่ได้นิยมเฉพาะคนไทยนะ ฝรั่งเองส่วนใหญ่ก็
ชอบอยู่ตรงนี้ เพราะเป็นแหล่งเจริญมีที่เที่ยวเยอะแยะ ที่หาดฝรั่งตะวันตกของเกาะ ตั้งแต่
ทรายรี มาถึงจันสมที่เราอยู่ จะมีเศษไม้กิ่งไม้ลอยมาติดหาดเยอะมาก เค้าบอกว่าฤดูมรสุม
ลมจะพัดเศษพวกนี้จากฝั่งมาติดที่เกาะ ที่หาดทรายรีก็เต็มไปด้วยพวกเศษที่ว่านี้ ที่จริงก็ไม่
ได้สกปรกนะเป็นพวกกิ่งไม้ แค่ว่าดูแล้วมันไม่สวย แต่ฝรั่งไม่สนใจ นอนอาบแดดอยู่บนหาด
เต็มยาวตลอดหาด ตอนนี้น้ำขึ้นด้วย เหลือที่หาดทรายอยู่ประมาณสองเมตร ฝรั่งนอนกันก็
เต็มหาดแล้ว เด็กจิ๋วได้เล่นทรายต่ออีกหน่อย ทรายที่นี่ขาวแล้วก็ละเอียดจริงๆ
...จุดสุดท้ายที่คุณลุงพามาคือจุดชมวิวสูง มองเห็นหาดทรายรีกับอ่าวแม่หาดซึ่งเป็นท่าเรือ
ที่เราขึ้นมา จุดชมวิวนี้ไม่ค่อยสวย แวะกินน้ำปั่นแก้วเดียวก็กลับรีสอร์ทกัน คนที่ร้านนี้บอก
ว่าเด็กจิ๋วพูดเก่งจัง ไม่รู้ว่าชมหรือแอบด่านะ
...กลับห้องพักกัน กะว่าจะเก็บของแล้วพาเด็กจิ๋วไปเล่นทะเลต่อ เพราะวันนี้ยังไม่ได้เล่นน้ำ
ทะเลจริงจังเลย กลับมาเล่นที่รีสอร์ทเราเนี่ยะแหล่ะ แต่ว่าเด็กจิ๋วเกิดอึ๊ก่อน คุณแม่เลยต้อง
พาเด็กจิ๋วไปล้างก้นในห้องน้ำ ระหว่างกำลังล้างอยู่นั้น ก็เจอยุงตัวใหญ่บินอยู่ คุณแม่เลยจะ
พยายามตบ ไล่ตามไปที่โถฉี่ แล้วเอามือตบไปที่โถ แต่ปรากฎว่ามือไปโดนกับอะไรสักอย่าง
ที่ไม่ใช่ยุง มันก็คือ ตุ๊กแก คุณแม่ตกใจร้องกรี๊ด แล้ววิ่งเผ่นออกมาจากห้องน้ำ ทิ้งลูกน้อยไว้
ตามชะตากรรมอยู่คนเดียว พอได้สติถึงค่อยไปตามรับลูกกลับมา เรารีบแจ้งรีสอร์ทบอกว่า
ให้มาจับตุ๊กแกหน่อย ที่จริงปะป๊ากับคุณแม่ก็ไม่ได้กลัวมากนะ แต่ถ้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียว
กันแล้วมันจะแปลกๆยังไงไม่รู้ คือมันชอบแอบ เราก็จะระแวงว่ามันอยู่ที่ไหน กลัวมันจะโดด
ใส่เราด้วย ทางรีสอร์ทส่งเจ้าหน้าที่พม่ามาสองคน พอมาถึง ต่างคนต่างเกี่ยงกัน ถอยๆกลัวๆ
ไม่นึกว่าพม่าก็กลัวตุ๊กแกด้วย หลังจากปรึกษากันอยู่สักพักว่าจะจับตุ๊กแกยังไงดี บางคนว่า
ต้องไปหาเชือกมา เราก็คงง เอาเชือกมาทำอะไร หรือเราฟังผิด สุดท้ายพม่าทั้งสองก็ถอยทับ
กลับไปหาอุปกรณ์มา ได้มาแค่ถุงก๊อบแก๊บใบหนึ่ง ระหว่างนี้ เด็กจิ๋วรอไม่ไหวแล้ว ให้ปะป๊า
พาไปเล่นทรายก่อน เดี๋ยวจะค่ำแล้ว เพราะดูท่าแล้วไม่ได้จะจับกันง่ายๆเลย ปล่อยให้คุณแม่
อยู่สังเกตการณ์ไปก่อน คุณแม่บอกว่าต้องอยู่เฝ้าดู ไม่ได้กลัวของหายนะ แต่กลัวว่ามันจะมา
หลอกเราว่าจับไปแล้ว แต่ที่จริงยังไม่ได้จับ คุณแม่บอกว่าหลังจากพยายามไล่ล่าอยู่นาน สุด
ท้ายไปเอาเชลท็อกมาฉีดให้ตุ๊กแกมึนๆ แล้วใช้ผ้าเช็ดเท้าจับได้ แต่ไม่ได้จับใส่ถุงไปนะ โยนไป
ทิ้งข้างๆบ้านเรานั่นแหล่ะ เราก็ได้แต่คิดว่า มันจะกลับมาไม๊เนี่ยะ ถ้ากลับมาคราวนี้ มันจะมา
พร้อมกับความแค้นมากเลยนะ ซึ่งคืนนั้น ปะป๊าก็ได้ยินเสียงตุ๊กแกอยู่ที่บ้าน แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรง
ไหน เข้ามาในบ้านหรือยังอยู่นอกบ้าน คือจะเข้าก็เข้าง่ายๆเลย เพราะส่วนห้องน้ำเป็นระบบ
เปิด หมาแมวก็เดินเข้ามาได้ จนวันจะกลับ คุณแม่เข้าห้องน้ำเป็นครั้งสุดท้าย ก็แจ็คพ็อตเจอ
อีกครั้งจนได้ มันหวนกลับคืนสู่ห้องน้ำจริงๆ รีบปิดห้องหนีไปเข้าห้องน้ำที่อื่นแทน ตอนที่เด็ก
จิ๋วเห็นเจ้าหน้าที่พม่ามาจับตุ๊กแกให้ เด็กจิ๋วพูดออกมาว่า “ถ้าน้องพริมโต น้องพริมจะมาจับ
ตุ๊กแกแบบพี่บ้าง”...ให้มันจริงนะ จะรอดู
...เด็กจิ๋วไปเล่นทะเลที่อ่าวจันสมกับปะป๊า รอคุณแม่ตามมานานมากเพราะเฝ้าคนจับตุ๊กแก
นั้นแหล่ะ ทรายที่นี่แย่มากๆ เป็นกรวดเหมือนตู้ปลา เด็กจิ๋วเดินก็เจ็บ ร้องโอ๊ยๆไปมา แต่วันนี้
ได้ลงไปเล่นน้ำทะเลกัน หลังจากที่เด็กจิ๋วกลัวๆแล้วไม่กล้าลงน้ำทะเลมาตั้งนาน เราเล่นมา
เจอกัน ตามตำนานเกาะเต่าที่ปะป๊าเล่าให้เด็กจิ๋วฟัง มีเต่าพ่อแม่ลูกอยู่กันอย่างมีความสุข
วันหนึ่งมีน้ำท่วม ซัดเต่าทั้งสามลอยไปตามน้ำ ต้องตามหากันตั้นาน สุดท้ายมาเจอกันที่นี่
ที่เกาะเต่า เป็นที่มาของชื่อเกาะ อันนี้ปะป๊าแต่งเองนะ เด็กจิ๋วจำได้ก็มาเล่นเจอกันระหว่าง
พ่อลูก ปะป๊ากับเด็กจิ๋ว เจอกันแล้วก็วิ่งเข้ากอดกัน แค่นี้ก็สนุกสำหรับเด็กจิ๋วแล้ว เล่นกันอยู่
จนเบื่ออ่ะ เล่นไม่เลิก เล่นอีกอย่างก็คือฝังทรายกลบขาเด็กจิ๋ว เล่นเป็นเดชไอ้ด้วนขาขาด
...เล่นน้ำทะเลเสร็จก็จับอาบน้ำแล้วก็หลับไปโดยง่าย วันนี้ไม่เสียรู้พาเด็กจิ๋วไปกินข้าวที่ร้าน
แล้ว เพราะเมื่อวานตอนตัวเองกินเสร็จแล้วง่วง ก็อาละวาด กรี๊ดๆลั่นร้านมาแล้ว วันนี้ขอสั่ง
อาหารมากินกันที่ห้องแทน คุณแม่สั่งสปาเก็ตตี้คาโบนาร่ามาแบ่งกับเด็กจิ๋ว อร่อยเหมือนกัน
ส่วนปะป๊าสั่งใบเหลียงผัดไข่ เพราะติดใจตั้งแต่เมื่อวาน พอกินข้าวเสร็จ เด็กจิ๋วก็หลับไปโดย
ง่าย ไม่งอแงมาก
...วันรุ่งขึ้นเรากินข้าวเช้าเสร็จก็ยังไม่กลับ เก็บกระเป๋าแล้วเช็คเอ้าท์ก่อน แล้วไปเที่ยวอ่าว
ทรายนวนก่อนกลับบ้าน ซึ่งอ่าวนี้คุณลุงไม่ได้พาไปเมื่อวาน ลุงบอกให้เดินไปจากรีสอร์ทมัน
ใกล้ๆ จนตอนนี้เราก็ไม่แน่ใจว่าลุงขี้เกียจไปส่งหรือคิดว่าเดินใกล้จริงๆ คือมันก็ใกล้อยู่หรอก
แต่ว่าเป็นทางเขาชันมาก เดินแบกเด็กจิ๋วไปกลับ เกือบตายเหมือนกัน แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะ
ทางเดินจากจามจุรีไปหาดทรายนวน จะต้องผ่านแบมบูฮัท ซึ่งเป็นอีกรีสอร์ทหนึ่งเจ้าของคน
เดียวกันกับจามจุรี อยู่ข้างๆกัน อันนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์ของเกาะเต่าเลย ปะป๊ากับคุณแม่ชอบ
มาก วิวสาย ห้องพักดี ตกแต่งเป็นไม้ไผ่เข้ากับธรรมชาติคล้ายๆจามจุรี แต่ภายในไม่ได้แต่ง
แนวพม่าอีกแล้ว เป็นแนวเรียบๆธรรมชาติ ห้องน้ำก็เป็นปูนเปลือยทาสี คุณแม่เห็นห้องน้ำที่
นี่แล้วอดใจไม่อยู่ คือตั้งแต่เจอตุ๊กแกที่ห้องพักมา ยังอั้นไว้ไม่ได้เข้าห้องน้ำเลย มาขอเข้าที่นี่
แหล่ะ คือเราเดินผ่านห้องพักแล้วมีเจ้าหน้าที่บอกว่าให้เข้าไปดูได้ เพราะเพิ่งมีแขกเช็คเอ้าท์
ออกไป เราก็เข้าไปดู แต่ไม่ดูเปล่า แอบเข้าห้องน้ำซะหนึ่งที ห้องพักที่นี่จะเป็นแบบ pool villa
ริ่มหน้าผา วิวสวยสุดๆ ห้องจะแพงเหมือนกัน หมื่นกว่าบาทต่อคืน ข้อเสียของที่นี่อย่างเดียว
คือไม่มีหาดทราย ถ้าจะเล่นทรายต้องเดินไปที่หาดทรายนวลซึ่งก็เหนื่อยเหมือนกัน
...กว่าจะแบกเด็กจิ๋วมาถึง เหนื่อยมาก แต่ก็สวยมากเหมือนกัน หาดทรายนวล น้ำใส วิวสวย
ทรายก็ขาวละเอียด สวยกว่าอ่าวจันสมมาก ตอนนี้มีแต่คำถามในหัวกันว่าทำไมคนไม่มานอน
ที่นี่ ไม่มาเที่ยวที่นี่ ที่นี่ดูเหมือนจะมีแต่ฝรั่ง 100%เลย บ้านพักก็เป็นแบบบังกะโลถูกๆ เห็นเค้า
บอกว่าหลักร้อย ดูหน้าตาแล้วไม่มีแอร์นะ เป็นบังกะโลแบบเหมาะกับฝรั่งแบ็คแพ็คมากๆ เด็ก
จิ๋วเล่นทรายอยู่ที่นี่นานเลย ให้ลงทะเลแค่แป๊บเดียวเพราะแดดร้อนมาก เด็กจิ๋วเจอน้องๆฝรั่ง
นั่งเล่นทรายอยู่ข้างๆ พยายามจะไปมีส่วนร่วมกับเค้า เดินไปจ้องๆมองๆ แบบนี้ทุกที จะเล่น
จะอะไรก็ทำดิ่ เอาแต่ยืนจ้องหน้าเค้า
...ออกจากหาดทรายนวลก็ไปอาบน้ำกันที่ล็อบบี้ของรีสอร์ท เพราะเราคืนห้องไปแล้ว แต่ถึง
แม้ไม่ได้คืนก็เข้าไปใช้ไม่ได้ เพราะตุ๊กแกยังอยู่ เสร็จแล้วก็ให้รถของรีสอร์ทไปส่งท่าเรือ ตอน
ที่นั่งเรือ เด็กจิ๋วได้หลับไปหน่อย สงสัยจะเพลียเหนื่อยมาก เล่นอยู่ดีๆก็บอกว่าง่วง คุณแม่ก็
อุ้มขึ้นมา แล้วก็หลับไปเลย

@จามจุรี, เกาะเต่า

เด็กจิ๋ว Chill Out @ จามจุรี วิลล่า เกาะเต่า
 

สวัสดีค่ะ ช่วงนี้อาจไม่ค่อยได้เห็นหน้าเด็กจิ๋วมารีวิวนะคะ เพราะแม่ไม่ค่อยว่าง มัวยุ่งอยู่กับการทำฟาร์มค่ะ ดอกไม้
วันนี้ได้ฤกษ์กลับมารีวิว ลองของ Pantip โฉมใหม่เป็นครั้งแรกเลยค่ะ
ครั้งนี้ได้ไปเกาะเต่า เพราะเราอุตส่าห์ไปต่อแถวตั้งแต่ห้างเปิดเพื่อแลกที่พักจากงาน Redeem Travel Fair
เราได้ที่พักมา 2 แห่งเพราะป๊ากับแม่ใช้คนละสิทธิ์ เสียไปคนละ 100 บาท + 1,000 คะแนนจากบัตรเครดิตที่มาร่วมงาน
ที่พักที่ได้มาก็คือ จามจุรีวิลล่า เกาะเต่า 3 วัน 2 คืน และ Renaissance ภูเก็ต 1 คืน

เราดีใจมากที่เลือก Voucher จามจุรีวิลล่า เพราะทำให้เราได้ร็จักเกาะเต่าดีขึ้นมากๆ
เราพบว่าทะเลเกาะเต่าสวยมากๆ ได้แต่สงสัยว่าทำไมเราที่เป็นคนไทยถึงไม่รู้มาก่อนว่าทะเลเกาะเต่าสวยขนาด นี้ ขนาดฝรั่งยังมากันให้เต็มเกาะไปหมด
เราพบว่าเจ้าหน้าที่จามจุรีวิลล่าน่ารักมากๆ เริ่มตั้งแต่จองที่พัก จนการบริการที่ได้รับ ซึ่งเราคาดไม่ถึงว่าจะได้รับจาก Voucher ที่เรียกได้ว่าเกือบจะฟรีแบบนี้
เดี๋ยวเด็กจิ๋วจะพาไปดูนะคะว่าทะเล เกาะเต่า เมืองไทยของเราสวยขนาดไหน ตามมาเลยค่ะ ยิ้ม

 

เนื่องจากช่วงที่จะไป ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวของเกาะเต่า ทำให้กังวลกันมากว่าจะเจอคลื่นลม กลัวเมาเรือ สารพัด
ทำให้เราจองที่พักแล้ว ก็ย้ายวันไป ย้ายวันมา กลับไปมาหลายรอบอยู่ แถมยังเลือกบ้านหลังที่จะพักแล้ว ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายรอบ
จนเกรงใจน้อง Reservation ที่จามจุรีมากๆ แต่น้องเค้าก็บริการเราดีมาก ช่วยเลือกว่าบ้านหลังไหนเหมาะกับเรา หลังไหนวิวดี สารพัด น้องน่ารักมากค่ะ

การเดินทางของเราก็เริ่มจากขับรถออกจากกรุงเทพแต่เช้าตรู่ ไปลงเรือเร็วลมพระยารอบบ่ายโมง
เราซื้อตั๋วล่วงหน้าไปจากสำนักงานเรือเร็วลมพระยาที่ถนนข้าวสารค่ะ ส่วนรถเราจอดไว้ที่ท่าเรือ เสียค่าฝากรถคืนละ 50 บาท
พอขึ้นเรือ เด็กจิ๋วก็เจอเพื่อนใหม่เลยค่ะ สนุกเลยคราวนี้ ไปวิ่งเล่นกับเค้า แล้วไปเนียนไปนั่งรวมกับบ้านเค้า กินขนม กินกล้วยเค้าด้วย

ตอนลงเรือมาเราเจอฝนตกหนักในทะเล คิดว่าทริปนี้คงไม่สนุกแล้ว แต่ปรากฎว่าพอมาถึงเกาะ ฟ้าก็ใส แดดร้อนมากเลยทีเดียว
ทางจามจุรีส่งรถมารับเราที่ท่าเรือ นั่งรถแป๊บเดียวก็มาถึงรีสอร์ท มีน้ำส้ม และผ้าเย็นเอาไว้ต้อนรับค่ะ

 
บริเวณล้อบบี้

เช็คอินเรียบร้อย น้องเจ้าหน้าที่ก็เดินพามาส่งที่ห้อง
ทางเดินไปห้องก็ไกลพอควร แถมขึ้นๆลงๆอีกต่างหาก เพราะเหมือนว่ารีสอร์ทนี้อยู่บนโขดหิน ทางเดินจะทำลัดเลาะไปตามพื้นที่ กว่าจะเดินมาถึงห้องก็ประมาณ 15 นาทีได้ พอมาถึงแล้ว เราตั้งใจว่าจะอยู่กันแถวห้องพักนี้แหล่ะ คงไม่กลับออกไปล้อบบี้อีกแล้ว
รูปนี้เป็นทางเดินช่วงนึงค่ะ

 
มาถึงแล้วห้องพักของเรา ห้อง Deluxe Cottage เบอร์ 37
เป็นห้องที่น้อง Reservation แนะนำว่าวิวดี ซึ่งวิวก็งามจริงค่ะ
แต่ก่อนเข้าห้องต้องปีนบันไดกันเล็กน้อย

ห้องนี้วิวดีจริงๆ แต่มีข้อเสียที่เจ้าหน้าที่บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะพลุกพล่านหน่อย
เพราะตรงหน้าระเบียงจะเป็นทางเดินหลักระหว่างอ่าวจันทร์สมกับห้องอาหาร
จะมีพนักงานและแขกที่พักเดินไปมาทั้งวัน ซึ่งข้อนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับบ้านเรา บ้านเราชอบพลุกพล่านดีกว่าเงียบๆ

 
เตียงผ้าใบ 2 ตัวที่ระเบียงใช้การได้ดีมาก เด็กจิ๋วมานั่งชมวิวบ่อยมาก ตั้งแต่ตื่นมาตอนเช้า ชมพระอาทิตย์ตกตอนเย็น แล้วก็นอนดูดาวตอนกลางคืน   
 
วิวจากระเบียงห้อง มองเห็นอ่าวจันทร์สมได้ดีพอควร แต่จะติดหลังคาบ้าน 35A (ทางซ้าย) และบ้าน 44 (ทางขวา)
 
หลังคาบ้าน 44 ซึ่งเป็น Pool Villa ที่หรูสุดของจามจุรี เดี๋ยว คคห ล่างๆจะลงรูปข้างในห้องนี้ให้ดูอีกทีค่ะ

ทีแรกตั้งใจว่าจะขอ upgrade เป็นห้อง 35A ซึ่งเป็นแบบ Sunset Cottage ซึ่งต้องเพิ่มเงินอีกคืนละ 4,000 บาท จะได้ห้องกว้างขึ้น วิวสวยขึ้น ไม่มีหลังคาห้องอื่นมาบัง และใกล้ชิดอ่าวจันทร์สมมากๆ
แต่สิ่งสำคัญที่เราตัดสินใจไม่พักห้อง 35A เพราะไม่ชอบงาช้างในห้องอ่ะค่ะ แถมยังมีรูปปั้นแบบพวกของ antique แนวพม่าๆ มาเรียงๆอีก คาดว่าจะนอนกันไม่ได้แน่ๆ ฉะนั้นจึงไม่ upgrade ไม่เสียเงินเพิ่มด้วย

 
มองข้ามไปด้านโน้นของอ่าว เป็นห้องสุดฮิตอีกห้อง คือห้อง 32 อันนี้ต้องเดินไกลกว่าห้องเรามาก คือต้องเดินอ้อมอ่าวจันทร์สมไปอีกฝั่งหนึ่ง แล้วทางขึ้นก็ต้องปีนนิดหน่อย อาจจะไม่เหมาะกับเด็กจิ๋ว
 
เก็บของที่ห้องเรียบร้อย ก็พาเด็กจิ๋วไปเล่นทรายกันเลย
แต่ค่อนข้างผิดหวังนิดหน่อย เพราะทรายที่นี่เม็ดใหญ่เป้งมาก หยาบไปหน่อย เด็กจิ๋วบ่นใหญ่ว่ามันแข็ง ไม่นุ่ม

เล่นทรายกันพักนึง ก็กลับห้องไปอาบน้ำแล้วไปนั่งชมพระอาทิตย์ตกกันที่ร้านอาหาร Starlight
เดินมาไม่ไกลจากห้องเรา

 
ห้องอาหารนี้ชมพระอาทิตย์ตกสวยมาก วันนี้เรามาดูพระอาทิตย์ตกตรงจุดนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะย้ายไปที่ตรง
อ่าวจันทร์สมบ้าง
ตอนแรกกะจะนั่งกินข้าวกันตรงนี้ แต่ลมแรงเกิน แรงมากๆ คาดว่าอาหารคงปลิวแน่ๆ เลยย้ายเข้ามานั่งในตัวอาคารดีกว่า
มองไปมองมาวันนี้มีแขกอยู่ประมาณ 5 โต๊ะเอง

 
รออาหารค่อนข้างนานเลยทีเดียว เด็กจิ๋วหิวมาก บ่นใหญ่ว่าหิวๆ
บอกว่าถ้าข้าวหนูยังไม่มา จะกินก้อนหินพวกนี้ให้หมดเลย โชคดีข้าวมาซะก่อน เลยไม่ได้กินก้อนหิน

ห้องอาหาร Starlight มองลงมาจากตัวอาคารด้านบน
 
อาคารห้องอาหารที่นี่จะมี 3 ชั้น ตอนเดินเข้ามาจะเข้ามาชั้นบนสุดก่อน แล้วค่อยเดินลงบันได้มาชั้นล่าง
ถึงตอนนี้ก็ยังงงๆอยู่ว่าส่วนไหนเป็นชบา ส่วนไหนเป็น Starlight
ที่แน่ๆคือส่วน outdoor เป็น Starlight ในอาคารไม่แน่ใจค่ะ

 
ตรงนี้เป็นบริเวณชั้น 2 เป็นที่สำหรับทานอาหารเช้า (เดาว่าเป็นส่วนของห้องอาหารชบา)
 
ชั้นล่างสุด ห้องอาหาร Starlight

อาหารที่นี่อร่อยทุกอย่าง เด็กจิ๋วกินเข้าไปหลายขนาน พอท้องอิ่มก็เริ่มง่วง หลับไปแต่หัววัน
รูปนี้เป็นระเบียงตรงทางเข้าห้องเรา

 
ปะป๊าออกมาถ่ายรูปแถวอ่าวจันทร์สมต่อ ตั้งแต่มานี่ยังไม่มีเวลาถ่ายรูปซักเท่าไหร่ เวลาหมดไปเร็วมาก เพราะกว่าจะเดินทางมาถึงเกาะ นั่งรถมารีสอร์ท เดินมาห้องพัก พาเด็กจิ๋วไปเล่นทราย รีบอาบน้ำกว่าจะเสร็จก็เกือบดูพระอาทิตย์ตกไม่ทัน
 
ไม่ค่อยได้เห็นดาวเต็มท้องฟ้าแบบนี้มานานแล้ว
 
ตรงบ้านที่เปิดไฟอยู่คือห้องเบอร์ 32 น่าอยู่ไม่ใช่น้อย

กลับมาเจาะลึกตัวห้องพักของเราต่อ ส่วนนี้เป็นห้องนั่งเล่น จากระเบียงบ้านเปิดเข้ามาจะเป็นบริเวณนี้ก่อน ไม่มีแอร์ มีตู้เย็น จาน แก้วน้ำ และเครื่องเสียง
ห้องพักที่จามจุรีแต่ละห้องจะมี layout ที่แตกต่างกัน เข้าใจว่าคนสร้างห้องพัก ตั้งใจสร้างโดยอิงพื้นที่เดิม บางที่เป็นก้อนหิน บางที่เป็นต้นไม้ ก็จะพยายามสร้างบ้านโดยไม่ทำลายธรรมชาติเดิมๆ

 
ถัดเข้ามาจะเป็นห้องนอน ซึ่งรู้สึกว่าแคบเกินไป เตียงวางเต็มห้อง มีทางเดินเหลือนิดเดียว
 
ส่วนของห้องน้ำรู้สึกว่ากว้างเกินไป จากรูปนี้ ประตูห้องนอนอยู่ขวา ซ้ายมือเป็นห้องอาบน้ำและห้องส้วม ส่วนบริเวณพื้นไม้สีแดงเป็นอ่างล้างหน้า
 
ส่วนห้องอาบน้ำ น้ำที่นี่จะไหลเอื่อยหน่อย ทางรีสอร์ทแจ้งว่าต้องช่วยกันประหยัดน้ำ หากฝนไม่ตกต่อเนื่องกัน 15 วัน บนเกาะจะไม่มีน้ำใช้ ต้องซื้อมาจากฝั่งโดยขนมาทางเรือ
 
ส่วนของห้องส้วมก็รู้สึกว่ากว้างเกินไปเหมือนกัน มีโถชำระให้เลือกใช้ถึง 3 แบบ
สังเกตุว่าหลังคาบ้านจะเป็นวัสดุธรรมชาติอาจมีรูมีช่องบ้าง ซึ่งอันนี้วันที่สองเราโดนธรรมชาติทำร้าย มีตุ๊กแกบุกเข้ามาในห้องส้วม ประจันหน้าจังๆกับแม่เลย รีบวิ่งกรี๊ดหนีออกมาแทบไม่ทัน ต้องตามเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทมาช่วยจับออกไป แต่ออกไปได้ไม่นาน มันก็กลับเข้ามาอีก เพราะบริเวณห้องน้ำเป็นระบบเปิด พนักงานบอกว่าจะเจออยู่เรื่อยๆ บางทีก็เจอหนูเข้ามาด้วย ร้องไห้

เช้าวันที่สองตื่นกันมาตั้งแต่เช้ามืด เมื่อคืนนอนกันไม่ค่อยหลับเท่าไหร่ แถมเด็กจิ๋วยังละเมอร้องไห้ถีบปะป๊ากับคุณแม่ทั้งคืน คงฝันว่าเล่นน้ำทะเลอยู่มั้ง
 
ชมวิวทะเลยามเช้าผ่านหน้าต่างห้องได้เลย

เด็กจิ๋วตื่นแล้ว เราก็มาทานอาหารเช้ากันที่เดิม คือห้องอาหารชบา
 
ส่วนของห้อง Starlight เก็บโต๊ะเรียบหมดแล้ว
 
ตอนแรกเราต้องเดินเข้ามาที่ชั้นบนสุดของห้องอาหาร
 
ลงมาชั้น 2 เราทานกันที่ชั้นนี้ แขกส่วนใหญ่จะเลือกนั่งที่บาร์ตรงนี้ เพราะสามารถกินอาหารเช้าไปด้วยชมวิวสวยๆไปด้วย
 
อาหารเช้าที่นี่รสชาตอร่อย ถึงแม้ไม่ได้มีมากมายเหมือนโรงแรมใหญ่ๆ แต่ก็อร่อย
 
จากห้องอาหาร มองซ้ายจะเห็นวิวอ่าวจันทร์สม
 

หลังอาหารเช้า เราเดินกลับห้องพัก ผ่านบ้าน 44 เจอพนักงานกำลังทำความสะอาดห้องอยู่ เลยขอเข้าไปสำรวจหน่อยค่ะ
รูปนี้เป็นบริเวณหน้าห้อง 44

 
บ้านใหญ่โตมาก บริเวณห้องนอนไม่ได้ถ่ายมานะคะ เพราะพนักงานไม่มีกุญแจ เลยถ่ายได้แค่บริเวณ pool
 
มองเห็นอ่าวจันทร์สมชัดเจน
อยากนอนบ้านหลังนี้ ประหลาดใจ

 
บ้าน 44 จะมีพื้นที่ส่วนกลางร่วมกับบ้าน 26A 26B และ 26C เป็นศาลานั่งเล่นและทางเดินลงทะเลส่วนตัว
 
ศาลาริมทะเลส่วนตัวของบ้าน 44 และ 26

วันนี้เรามีโปรแกรมนั่งรถเที่ยวรอบเกาะ
ให้น้องที่ front ติดต่อเช่ารถให้ เตรียมข้าวของเสร็จก็เดินไปขึ้นรถที่ล้อบบี้
รถที่มารับเป็นรถกระบะ 4x4 เพราะถนนหนทางบนเกาะเต่าบางช่วง ต้องเป็นรถ 4x4 ถึงจะไปได้ค่ะ
จุดแรกที่ไปแวะคือ อ่าวโตนด เป็นชายหาดด้านตะวันออกของเกาะซึ่งค่อนข้างเงียบมากๆ มีฝรั่งมาเล่นน้ำบ้างเล็กน้อย
น้ำทะเลสีสวยมาก แต่ทรายก็เม็ดใหญ่ๆ เหมือนแถวๆรีสอร์ทเราเลย

 
เพิงนี้น่าจะเคยเป็นร้านขายของหรือเครื่องดื่มอะไรซักอย่าง แต่ตอนนี้ร้างอยู่
แม่กับเด็กจิ๋วเลยขออาศัยร่มเงาของร้านนี้หลบแดดอันแรงกล้าค่ะ ไม่งั้นมีหวังหน้ามืดแน่นอน ร้อนดีจริงๆ

 
เราแม่ลูกนั่งเล่นกันอยู่ตรงนี้พักใหญ่ ปล่อยให้ปะป๊าไปเผชิญแดดถ่ายรูปให้สบายใจ

นั่งลุ้นดูฝรั่งโดดน้ำอยู่นานมาก ตั้งท่าจะโดดเป็นสิบรอบอ่ะ แล้วก็ไม่โดดซักที ไม่เอาไม่พูด
 
ถึงแม้แดดจะแรงกล้าซักแค่ไหน แต่พอเข้าร่ม ลมก็พัดเย็นสบายดี

ออกจากอ่าวเทียนออกมา จะเป็นทางขึ้นเขา พี่คนขับแวะร้านอาหารที่เป็นจุดชมวิวให้เราถ่ายรูปกัน

จุดต่อมาที่แวะ เป็นอ่าวที่บ้านเราชอบกันมากที่สุด ให้เป็นอันดับ 1 ในเกาะเต่าเลย
ที่นี่คือ อ่าวลึก ยิ้ม เราตื่นเต้นกับสีของน้ำทะเลที่นี่มาก สีสวยมากจริงๆ
ไม่นึกว่าเกาะเต่าจะมีหาดมีน้ำทะเลที่สวยมากขนาดนี้ ประทับใจที่นี่มากมายค่ะ

เราแวะหาอะไรเย็นๆดื่มกันที่ร้านอาหารของอ่าวลึก 2 รีสอร์ท
เป็นร้านอาหารที่วิวดีเป็นเลิศจริงๆ เราสั่งน้ำปั่นไป 2-3 แก้ว แต่นั่งเค้านานมากๆ
นั่งมองวิวก็เพลินไปได้นานเลยค่ะ อยู่ในร่มไม่โดนแดด ลมเย็นนั่งสบายมากๆ ไม่อยากลุกออกไปเลย
นั่งกันนานจนพี่คนขับต้องมาตามให้ไปต่อได้แล้ว

ตอนนั่งเล่นที่ร้านเพิ่งมองไปเห็นว่าที่นี่เป็นรีสอร์ทด้วย บ้านพักก็อิงแอบโขดหิน เห็นวิวสวยๆแบบนี้เหมือนกัน คราวหน้าน่าลองมาพักที่นี่บ้าง
 
น้ำทะเลไล่เฉดสีสวยมากๆ

ระหว่างที่แม่กับเด็กจิ๋วนั่งเล่นกันที่ร้านอาหาร ปะป๊าก็มาเก็บภาพมุมสวยๆของอ่าวลึก

น่าสงสัยว่าทำไมเราไม่เคยคิดจะเที่ยวเกาะเต่าก่อนหน้านี้เลย จริงๆเป็นเพราะเราไม่ได้รับรู้มาก่อนว่าทะเลเกาะเต่าจะสวยขนาดนี้
ฝรั่งอยู่ไกลคนละซีกโลกยังดั้นด้นมาเที่ยวกันให้เต็มเกาะไปหมดเลย หัวใจ

ขนาดปะป๊าเองเคยมาเที่ยวเกาะเต่าแล้วรอบนึง ยังไม่รู้เลยว่าเกาะเต่ามีทะเลสีสวยอย่างงี้
เพราะคราวที่แล้วปะป๊ามัวแต่ดำน้ำรอบเกาะ ไม่ได้เที่ยวหาด เลยไม่เห็นมุมมองจาหาดออกไปทะเลแบบนี้เลย

ออกจากอ่าวลึก เราบอกให้พี่คนขับพาไปทานมื้อกลางวันกันที่ร้านอาหาร New Heaven
แม่เคยหาข้อมูลจากที่ไหนซักแห่งนานมาแล้วว่าร้านนี้วิวสวย
ร้านนี้อยู่บนเขา มองลงไปเห็นหาดเทียนออก สวยจริงๆด้วย
แต่ที่นั่ง outdoor ที่เห็นร้อนระอุไปหน่อยเราขอนั่งใต้หลังคาละกัน
เราไปเป็นโต๊ะแรก นั่งในร่ม อีกซักพักมีฝรั่งมาหลายโต๊ะ นั่งตากแดดกันหมดเลย
อาหารที่นี่อร่อยเลยทีเดียว ถูกปากบ้านเรามากๆ

อ่าวเทียนออกมองจากร้านอาหาร New Heaven

หลังอาหารกลางวัน เราไปต่อกันที่อ่าวโฉลกบ้านเก่า
ช่วงบ่ายน้ำเริ่มขึ้นแล้ว จุดนี้ก็แวะไม่นาน เพราะไม่มีที่นั่ง และไม่ค่อยมีจุดให้ถ่ายรูปมากนัก

จุดสุดท้ายที่มาแวะคือหาดทรายรี
ทีแรกพี่คนขับปล่อยเราลง แล้วบอกให้เดินเที่ยวเลาะๆชายหาดไป แล้วจะไปรับอีกจุดนึงของหาด
เอ่อ..พี่คะ น้ำขึ้นอ่ะค่ะ ไม่สามารถเดินไปได้ เพราะน้ำขึ้นมาเหลือหาดอยู่จิ๊ดเดียว
แถมหาดจิ๊ดๆนั่นยังมีฝรั่งนอนเรียงรายตลอดแนว ถ้าให้เดินเลาะหาดไป คงต้องข้ามๆหัวฝรั่งไปแน่
เราเลยรีบโทรเรียกพี่คนขับมารับจุดเดิม กลับรีสอร์ทดีกว่า

กลับมาถึงรีสอร์ท เด็กจิ๋วขอเล่นน้ำทะเล เล่นทราย เพราะวันนี้ที่ไปมาไม่ได้เล่นจริงๆจังๆเลย เนื่องจากแดดร้อนแรงมาก

เล่นทรายที่อ่าวจันทร์สมกันพักใหญ่ก็อาบน้ำ มานั่งกินขนมชมวิวกันที่ระเบียง
 
ส่วนปะป๊าแยกไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตกดินที่หน้าหาดจันทร์สมคนเดียว

วันนี้เราไม่ได้ไปทานอาหารเย็นกันที่ห้องอาหาร แต่สั่งมาทานกันที่ห้องแทน เพราะเด็กจิ๋วเพลียและง่วงมาก หลับไปแต่วันเลย

ศาลานวดตัว
 
Elvis Beach Bar

เช้าวันสุดท้ายบนเกาะเต่า หลังอาหารเช้า เรามีโปรแกรมเดินไปเล่นน้ำเล่นทรายกันที่หาดทรายนวล
ข้อมูลที่ได้มาคือสามารถเดินไปได้จากที่พักเราสบายๆ เดี๋ยวไปดูกันว่าสบายจริงเปล่า

 
อ่าวจันทร์สมยามเช้า
 
เราโชคดีที่ตลอดสามวันที่อยู่ที่นี่ ฟ้าใสให้ถ่ายรูปสวยทุกๆวัน

จากจามจุรีวิลล่า เราจะเดินเท้าไปที่หาดทรายนวล
ก่อนถึงหาดทรายนวลจะต้องเดินผ่านอีกรีสอร์ทนึง คือ Bamboo Hut
ซึ่งเจ้าของก็เป็นเครือญาติกันกับเจ้าของจามจุรีวิลล่าที่เราพัก
ที่ Bamboo Hut นี่ไม่มีชายหาด แต่น้ำทะเลหน้ารีสอร์ทนี้สวยเวอร์ สวยมากจริงๆ

เรามานั่งพักเหนื่อยกันที่นี่ เจอเจ้าหน้าที่ของ Bamboo Hut เค้าชวนไปดูห้องที่เป็น Pool Villa ห้องริมสุดเบอร์ 18
เราเคยเห็นรีวิวห้องนี้มาจากใน BP แล้วจากคุณ MedicinePath จำได้แม่นว่าสวยมากๆ เลยไม่ลังเลที่จะเข้าไปดู เดี๋ยวพักหายเหนื่อยแล้วไปกัน  

ห้อง 18 ของ Bamboo Hut สวยน่าอยู่อย่างมาก เยี่ยม
 
เด็กจิ๋วอยากลงน้ำมากอ่ะ พยายามเอามือลงไปจุ่มใหญ่
 
ถ่ายมามากมาย สวย อยากนอนที่นี่ ท่าทางจะไม่มีตุ๊กแกด้วย

จุดที่เริ่มจะเดินไม่สบายคือจุดที่เริ่มจากออกจาก Bamboo Hut มาหาดทรายนวล
เพราะแดดที่ร้อนมากๆ ทำให้รู้สึกว่าไกลจัง เมื่อไหร่จะถึง แต่ยังไงก็หอบหิ้วกันจนมาถึงจนได้
ที่หาดทรายนวลมีฝรั่งอยู่เยอะ (ความจริงทุกหาดก็เจอฝรั่งทั้งนั้น) มีบ้านพักน่ารักๆ อยู่เยอะเหมือนกัน

ปะป๊าทิ้งเราแม่ลูกให้เล่นทรายกันใต้เงามะพร้าว แล้วตัวเองออกไปเดินตากแดดถ่ายรูปอีกแล้ว
 

หาดทรายนวลถึงแม้ชื่อไม่ดังและไม่สวยเท่าอ่าวลึก แต่ก็มีมุมถ่ายรูปงามๆหลายจุดทีเดียว

ขากลับเราเดินมาถึง Bamboo Hut ก็หมดแรงแล้ว
เจ้าหน้าที่บอกว่าสามารถโทรให้รถมารับจากจุดนี้ไปจามจุรีได้
เราก็โทรสิคะ ไม่รอช้า รอรถค่ะ รอรถ


เรากลับมาอาบน้ำกันที่ห้องน้ำกลางใกล้ๆล้อบบี้ แล้วรอรถมารับไปท่าเรือ
เราประทับใจกับทริปนี้มากๆ อาจจะเป็นเพราะเป็นทริปค่อนข้างกะทันหัน ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก่อน
แต่กลับได้มาเจอวิวสวยๆของเกาะเต่า และการบริการที่ดีของน้องๆที่จามจุรี ทำให้ประทับใจทริปนี้มากๆ
เด็กจิ๋วต้องบ้าย บายไปก่อนนะคะ เอาไว้เจอกันใหม่ทริปหน้าที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นที่ไหน
มีในสต๊อคเยอะมาก จนไม่รู้จะรีวิวอันไหนก่อนดีค่ะ ตอนนี้จะพยายามทยอยมาลงเรื่อยๆนะคะ อย่าเพิ่งลืมเด็กจิ๋วกันนะคะ หลิ่วตา