วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

@Chiangrai (Le Meridien, ปางสารภีกรีน, ไร่แสงอรุณ)

สวัสดีค่ะ เด็กจิ๋วมาแล้วค่ะ ห่างหายจากการรีวิวไปเดือนกว่าๆ เพราะติดภารกิจมากมาย
ซึ่งภารกิจที่ว่านี่ส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับการไปเที่ยวทั้งนั้น 
ตอนนี้ได้ฤกษ์กลับมารีวิวทริปเชียงรายที่ไปมาเมื่อต้นปีซะที จนอีกไม่กี่เดือนก็จะหนาวอีกแล้ว
เผื่อว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เพื่อนๆ ได้ไปสัมผัสอากาศหนาวที่เชียงรายแบบเด็กจิ๋วบ้างนะคะ
ไปเที่ยวด้วยกันเลยค่ะ
ทริปนี้มีสมาชิกทั้งหมด 4 คน คือครอบครัวเรา 3 คน และเพื่อนสนิทเราอีก 1 คน
ปะป๊าเป็นคนขับรถ เราออกจากกรุงเทพคืนวันศุกร์ ไปเช้าที่แถวๆ พะเยา 
เด็กจิ๋วเก่งมาก นั่งในรถมาทั้งคืน พอตื่นมาเห็นของกินก็ลั้นลาทันที 
นั่งหม่ำอาหารเช้าหน้า 7-11 ที่ปั๊มแถวๆนั้นค่ะ
เดี๋ยวนี้พอโตแล้ว หาอะไรกินได้สะดวกจาก 7-11
ไม่ต้องเตรียมอาหารเหลวๆ มาเองเหมือนตอนเล็กๆอีกแล้ว
นมขวดก็เลิกดูดจุกแล้ว ชีวิตแม่ก็เลยสุขสบายขึ้นเยอะ
มื้อเช้าวันนี้เป็นแซนด์วิช กับนม
เราไปถึงเชียงรายตั้งแต่เช้า ยังมีเวลาเหลือเฟือก่อนจะเข้าที่พักตอนเที่ยง 
ปะป๊าเลยลอง Search หาที่เที่ยวใน GPS ดู เอาที่แบบอยู่ใกล้ๆกับที่พัก 
เจออุทยานแห่งชาติลำน้ำกก ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน แต่ก็ลองแวะเข้าไปดูซะหน่อย
ตรงจุดที่เราขับรถเข้าไปได้ และไม่ต้องเดินเท้าก็ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรมาก 
เราพาเด็กจิ๋วเดินเล่นถ่ายรูปนิดหน่อยก็กลับออกมา
แวะกินข้าวเที่ยงที่ร้านหลูล้ำ อาหารอร่อยใช้ได้ แต่มัวแต่กินกันเลยลืมถ่ายรูปอ่ะค่ะ
ร้านอาหารอยู่ไม่ไกลจาก Le Meridien เชียงราย ซึ่งเป็นที่พักคืนนี้ของพวกเรา
กินข้าวเสร็จขับรถมาจิ๊ดเดียวก็ถึงเลย
พอปะป๊าจอดรถที่หน้า Lobby เด็กจิ๋วเห็นรถกอล์ฟคันโปรดจอดอยู่ข้างๆ ก็ขอซะหน่อย
เราเลือกพักที่ Le Meridien เชียงรายนี่ก็เพราะรีวิวสวยๆใน BP นี่เอง 
เราซื้อ Voucher มาจากงานท่องเที่ยวค่ะ 
ห้องที่จองมาเป็นห้องแบบ Deluxe แต่ตอน Check in พนักงานแจ้งว่าได้ Upgrade เป็นห้องแบบ Oversized Deluxe ค่ะ
เวลคัมฟรุ๊ตเป็นส้มหวานๆ
ลายร่มสวยๆบนกำแพง เอกลักษณ์ของห้องที่นี่เลย 
ดูมาหลายรีวิว ในที่สุดก็ได้มาเองแล้ว
ห้องกว้างขวางดีมาก มีเตียง Queen 2 เตียง แล้วยังวางเตียงเสริม 1 เตียงได้สบายๆ
ครั้งนี้เด็กจิ๋วสนุกสนานเป็นพิเศษ เพราะมีเพื่อนเล่นใหม่ เป็นเพื่อนของแม่กับปะป๊าที่ไปด้วยกัน
แต่เพื่อนแม่คงไม่ค่อยคุ้นกับการเล่นกับเด็กเล็กเท่าไหร่ มา join ด้วยหนเดียว ต่อมาพอชวนไปไหน บอกไม่ว่างตลอด หุหุ
ห้องน้ำกับห้องนอนเปิดบานเลื่อนมาเชื่อมกันได้ค่ะ
ห้องน้ำแต่งแบบเรียบๆ กว้างขวางดี แต่ไม่มีสายฉีดชำระนะคะ
แต่เราขัดใจกับระบบทำน้ำอุ่นของที่นี่มากเลย 
อาบๆอยู่มันจะร้อนสลับเย็นเป็นจังหวะๆให้พอได้สะดุ้ง
พออาบไปได้พักนึง เริ่มจับจังหวะได้ พอมันจะเย็นก็ต้องเอาฝักบัวหันออก ไม่กี่วินาทีก็อุ่น อาบต่อได้ .. กว่าจะอาบเสร็จอ่ะ ..
บ่ายๆ เด็กจิ๋วง่วงและหลับแล้ว คงเหนื่อยและเพลียจากการเดินทาง
ปะป๊าก็ออกมาสำรวจบริเวณรอบๆ ซะหน่อย
สระว่ายน้ำใหญ่พอสมควร แถมมีสระน้ำประดับต่อจากสระว่ายน้ำอีก แล้วยังมีแม่น้ำกกข้างๆอีก
เลยดูเหมือนมีพื้นที่ที่เป็นน้ำเยอะเลยค่ะ
สระว่ายน้ำน่าว่ายมากค่ะ บรรยากาศดีสุดๆ แต่อากาศเย็นแบบนี้ เด็กจิ๋วอดค่ะ
ตอนเย็นๆ เห็นมีคุณตาคุณยายชาวญี่ปุ่นมาว่ายน้ำกันด้วย ขนาดหนาวๆยังงี้
ห้องพักที่นี่จะอยู่บนตัวตึกทั้งหมด เห็นมีอยู่หลายตึก น่าจะสองหรือสาม
ข้อมูลไม่แม่นต้องขอโทษด้วยนะคะ ด้วยความที่ไปมาเกือบปี ดองนานไปหน่อยค่ะ
แต่ละตึกจะมี 4 ชั้น ห้องพักมีมากพอสมควรค่ะ
ข้างๆสระว่ายน้ำ ตรงริมแม่น้ำกก จะเป็นห้องอาหารอิตาเลียน ชื่อว่า Favola
ร้านนี้แต่งสวยเชียวค่ะ โรแมนติก น่านั่งมาก แต่ไม่เหมาะกับเด็กจิ๋วเป็นอย่างยิ่ง
มีที่นั่งส่วน Outdoor ด้วยนะคะ นั่งทานไป ชมพระอาทิตย์ตกไปก็ได้บรรยากาศดีค่ะ
เราไม่ได้ทานที่นี่นะคะ ขอเค้าเข้าไปถ่ายรูปเฉยๆ
เดี๋ยวจะออกไปทานข้างนอกกันค่ะ
พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว บรรยากาศดีมากๆค่ะ
เรายังไม่ไปไหน วนเวียนอยู่แถวๆริมน้ำนี่แหละค่ะ
เด็กจิ๋วตื่นนอนแล้ว ออกมาตามหาปะป๊า ยังงัวเงียอยู่เลย
วันนี้ที่รีสอร์ทคนน้อยมาก ไม่เจอคนไทยเลย มีแต่ชาวต่างชาติ
ริมน้ำกกยามเย็น
ถึงแม้รีสอร์ทจะอยู่ไม่ไกลเมือง แต่ใกล้ๆรีสอร์ทก็ไม่ค่อยมีสิ่งปลูกสร้าง
ฝั่งตรงข้ามก็เป็นที่ว่างๆ ดูไม่เกะกะสายตา
พระอาทิตย์จะตกแล้ว คุณตาคุณยายญี่ปุ่นที่ว่ายน้ำเล่นอยู่ก็ไปแล้ว
อากาศเย็นขนาดนี้ ไม่น่าจะว่ายไหวแล้วอ่ะ ถึงมาจากเมืองหนาวก็เถอะ
ยิ่งเย็นยิ่งเงียบ ไร้ซึ่งผู้คน ไปไหนกันหมดเนี่ย
ข้างๆ ห้องอาหาร Favola.เป็นบาร์ ชื่อว่า Chill Bar
เงียบเหงา
วันนี้ร้าน Favola มีแขกอยู่ไม่กี่โต๊ะ
อันนี้ค่ะ Chill Bar
บรรยากาศดี ริมน้ำกก เงียบสงบเหมาะกับการมาพักผ่อนมากๆ
Chill Bar อีกมุม
จากริมแม่น้ำมองย้อนขึ้นไป
พอพระอาทิตย์ลับฟ้า ก็ต้องรีบพาเด็กจิ๋วเผ่นกลับห้องแล้ว กลัวยุงค่ะ
อาคารหลักของที่นี่
ชั้นล่างเป็นห้องอาหาร 
ห้อง Latest Recipe ที่เราจะมาทานตอนเช้าก็อยู่ตรงนี้
ชั้น 2 เป็นล็อบบี้
ไฟสว่างไสวสวยงาม
เข้ามาดูในห้อง Latest Recipe กันค่ะ

เดินดูในห้อง Latest Recipe กันต่อค่ะ
ยามนี้ไม่มีแขก ขอน้องเค้าถ่ายรูปได้สบายค่ะ

มีส่วน Outdoor ด้วย อากาศเย็นๆแบบนี้ นั่งสบายค่ะ
มาที่ล้อบบี้กันบ้าง แวะถ่ายรูปก่อนจะออกไปทานอาหารค่ำกันค่ะ
ตอนกลางวันที่มาถึง ไม่ได้ถ่ายรูปล้อบบี้เอาไว้เลย
มีแต่รูปยามค่ำคืนแบบนี้นะคะ
อาหารค่ำของเราวันนี้ทานที่ร้าน สลุงคำ ไม่ไกลจากโรงแรมค่ะ
ร้านนี้คนเยอะจริงค่ะ รอคิวอยู่ครึ่งชั่วโมงได้ อาหารก็อร่อยสมกับที่รอค่ะ
เมื่อคืนนอนหลับสบายดีมากค่ะ
เด็กจิ๋วตื่นนอนแล้ว ออกมานั่งชมวิวที่หลังระเบียงห้องซะหน่อย
เช้านี้อากาศเย็นมากเลยที่เดียว
ดีใจได้ใช้หมวกที่ซื้อมาแล้ว นึกว่าจะร้อนจนไม่ได้ใช้
เด็กจิ๋วมาเดินเล่นแถวสระว่ายน้ำก่อนจะไปกินอาหารเช้า 
ได้มีโอกาสแวะเล่นที่ห้อง Kid’s Club ด้วย ห้องเด็กนี่จะอยู่ใกล้ๆสระว่ายน้ำเลยค่ะ
ห้อง Latest Recipe ยามสาย
กว่าเราจะมาเริ่มทานอาหารเช้าก็เลย 9 โมงไปแล้ว
ผู้คนเริ่มบางตาแล้วค่ะ
อาหารที่นี่ดี มีให้เลือกหลากหลาย
มีน้ำผลไม้คั้นสดด้วย จำได้ว่ารสชาติแบบเพื่อสุขภาพ สดๆ เพียวๆ ไม่มีน้ำเชื่อม เลยไม่ปลื้ม
นอกจากแยมทาหนมปังแล้ว มีนูเตลล่าให้ด้วย
อันนี้ปะป๊ากับเด็กจิ๋วปลื้มมม
เรานั่งกันตรงนี้ เป็นส่วน outdoor อากาศดีมาก
และเด็กจิ๋วจะได้ไม่รบกวนคนอื่นด้วย
ถ่ายอาหารจานของเรามานิดหน่อย ไม่ได้ถ่ายที่ไลน์มานะคะ
เพราะยังมีแขกท่านอื่นเดินตักอาหารทานกันอยู่
หลังจากเรากินกันเสร็จลุกออกมา ก็ต้องบังคับให้เด็กจิ๋วขอโทษคุณพี่พนักงานด้วย
เพราะเด็กจิ๋วทำน้ำหกเลอะเทอะมากอ่ะค่ะ ขอโทษอีกทีมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
กินข้าวเสร็จ ก็พาเด็กจิ๋วออกมาเดินเล่นรอบสระน้ำอีกรอบ
เด็กจิ๋วอยากจะลงน้ำมาก แต่ไม่สามารถจริงๆอ่ะ
สายวันนี้ยังไม่มีใครมาเล่นน้ำเลย
ไม่ได้ลงว่าย แต่ขอแค่ได้แตะๆ ก็พอ
ส่วนนี้เป็นสระน้ำประดับที่ต่อเนื่องมาจากสระว่ายน้ำ
หลังอาหารเช้าเราก็ใช้เวลาอยู่ริมน้ำเหมือนเมื่อวานเย็น 
ไม่ได้ไปไหนเลย เดินเล่น นั่งเล่น อยู่แถวๆนี้ สุขสบาย
เที่ยงๆ เราก็เช็คเอาท์ออกจาก Le Meridien มุ่งหน้าไปแม่สายทันที
(อีกหนึ่งภารกิจที่รอคอย หุหุ)
กว่าจะซื้อของเสร็จทั้งฝั่งพม่า ฝั่งไทย เล่นเอาเหนื่อย 
เพราะต้องหอบหิ้วเด็กจิ๋วที่หลับปุ๋ยไปด้วยตลอดการช้อปปิ้ง
เรามาถึงที่พัก ที่ ปางสารภี กรีน รีสอร์ท กันช่วงหัวค่ำแล้ว
เข้าห้องกันเลยดีกว่า
เราซื้อ Voucher ของที่นี่มาจากงานไทยเที่ยวไทยเช่นกัน 
ราคาต่างจาก Le Meridien อยู่หลายขุม แต่ก็อยู่สบายพอควร
ห้องน้ำขนาดกะทัดรัด สะอาดสอ้านดี
เช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นกันแต่เช้ามืด ไปทานอาหารเช้ากันตั้งแต่เค้ายังจัดไม่เสร็จดี
แล้วก็รีบขึ้นไปเที่ยวดอยตุงกัน จากปางสารภีขึ้นมาที่ดอยตุงใช้เวลาแค่แว้บเดียว 
ไม่น่าจะเกิน 30 นาที ข้อมูลเลือนลางไปตามกาลเวลาอีกแล้วอ่ะค่ะ
เรามาถึงกันตั้งแต่ประมาณ 7.30 โมง ซื้อแต่ตั๋วของผู้ใหญ่ 
ของเด็กจิ๋วเข้าฟรี
พอผ่านประตูเข้ามาแล้วเดินตามทางลงเนินมา จะเจอกับบ่อน้ำอันนี้ก่อนเลย
มีหงส์ตัวขาวหัวดำด้วย แล้วก็มีเป็ดน้อยแม่ลูก 1 ฝูง 
เด็กจิ๋วสนใจมาก เล่นอยู่ตรงนี้นานเลย คอยวิ่งตามดูหงส์กับเป็ดว่ายไปว่ายมา
บริเวณรอบๆบ่อน้ำก็จะมีพวกไม้กระถางประดับอยู่
ดอกไม้สีสวยๆเยอะแยะ เราเคยมาที่ดอยตุงครั้งนึง เป็นสิบปีมาแล้ว
จำได้ว่าสภาพไม่เหมือนอย่างวันนี้เลย ดูเหมือนสวยขึ้นมาก
เด็กจิ๋วก็สนใจดูโน้นนี้ไปเรื่อย ดอกไม้ ใบไม้ คงจะแปลกตา

ถัดเข้ามาหน่อย จะเจอร้านกาแฟดอยตุง
หมายมั่นว่าเดี๋ยวจะไปปักหลักตรงนี้แหละ
ชอบดอกไม้สีขาวนี่มาก สวยน่ารักจริงๆ จดชื่อมาด้วยค่ะ Candytuft
บริเวณสวนตรงนี้ ตกแต่งได้สวยงามดีค่ะ มีสะพานไม้ ลำธารเล็กๆ
ดอกไม้สีต่างๆ เยอะเลยค่ะ

วิ่งเล่นเพลินเลยค่ะเด็กจิ๋ว ข้ามสะพานไปมา ดูดอกไม้สีต่างๆ

สวนรอบร้านกาแฟจะมีไม้กระถางแขวนห้อยอยู่ทั่วบริเวณ 
ส่วนนี้ไม่รู้เรียกว่าอะไรนะคะ ไม่ได้ดูแผนที่เลยค่ะ เดินมันไปเรื่อยๆ
เด็กจิ๋วมานั่งปักหลักอยู่ที่ร้านนี้นานเลย
ปะป๊าสั่งชอคโกแลตปั่น กับคุ้กกี้ชอคโกแลตมากินกัน เด็กจิ๋วชอบมากค่ะ
ชอคปั่นนี่ปะป๊าชอบมาก ก่อนกลับยังแวะซื้ออีกแก้ว
ส่วนคุกกี้ชอคโกแลตแมคคาเดเมียก็อร่อยมากจริง 
เราซื้อกลับมากินเองที่บ้าน แล้วก็ซื้อเป็นของฝากด้วย
ความจริงคุ้นๆว่าเห็นร้านกาแฟดอยตุง แล้วก็ผลิตภัณฑ์ดอยตุงที่กรุงเทพด้วย
แต่ไม่เคยอุดหนุนเลย มาค้นพบที่นี่เองว่าของเค้าอร่อยมาก
ก่อนจะขึ้นมาที่ดอยตุงไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เพราะเคยมาแล้ว
แล้วที่เคยมาก็ดันมาวันปีใหม่ คนเยอะแทบไม่เห็นดอกไม้เลย

แดดก็ร้อนจัดมาก ทำให้ไม่ค่อยเห็นความงามของอะไรเท่าไหร่เลย
แต่ดอยตุงวันนี้ประทับใจมาก อากาศเย็นสบาย
คนไม่มากจนเกินไป สวนจัดสวย มีดอกไม้งามๆเยอะมาก

มีส่วนแสดงกล้วยไม้ และอื่นๆอีกมากมาย ที่เราเดินไม่ค่อยทั่วเท่าไหร่
ถัดมาอีกโซน เป็นลานดอกไม้กว้างๆ 
จำได้ว่าเราถ่ายรูปกันอยู่ตรงนี้นานพอควร

เด็กจิ๋ววิ่งขึ้นวิ่งลงเนินสนุกไปเลย


เด็กจิ๋ววิ่ง แม่ก็วิ่งตาม เพราะทางเดินมันเป็นเนิน กลัวพุ่งล้มลงไป 

ปรากฎว่าแม่หอบอ่ะค่ะ หลังๆ เริ่มหลอกให้เพื่อนแม่ไปวิ่งตามแทน
ดอกไม้สวยๆ มากมายหลายพันธุ์








สายมากแล้วเรากลับลงจากดอยตุง มุ่งหน้าไร่แสงอรุณค่ะ
เราแวะกินข้าวกลางวันที่ร้านแถวสามเหลี่ยมทองคำ

กว่าจะมาถึงไร่แสงอรุณก็บ่ายแก่ๆแล้วค่ะ
Welcome Drink เป็นน้ำกระเจี๊ยบเย็นชื่นใจ
ส่วนของล็อบบี้ เป็นพื้นไม้เงางามสะอาดมาก ต้องถอดรองเท้าก่อนด้วยนะคะ

เด็กจิ๋วว่งพุ่งเข้าไป ต้องตามไปถอดรองเท้าแทบไม่ทัน
ถัดจากล็อบบี้ จะเป็นส่วนทานอาหารชมวิวแม่น้ำโขง บรรยากาศดีค่ะ
อาหารเย็นกับอาหารเช้า เรากินกันตรงนี้
มองเห็นห้องเราแล้ว ริมโขง 1 ที่เฝ้ารอ จองล่วงหน้ามานานมากๆ
บ้านริมโขงจะมีทั้งหมด 3 หลัง เดาว่าภายในน่าจะเหมือนๆกัน
เปิดบ้านเข้ามาก็จะเจอห้องนอนขนาดกำลังพอดี ไม่ได้กว้างขวางมากนัก

ของเราเอาที่นอนเสริมใส่ด้วยก็แน่นพอดีเลยค่ะ
เปิดทีวีดูสถานีของประเทศเพื่อนบ้านได้ด้วย
ใต้ทีวีเป็นตู้เย็น มีนมกล่องให้ฟรีด้วยค่ะ
ในตู้เสื้อผ้าก็มีผ้าห่มผืนโตสำรองให้ เผื่อกลางคืนจะหนาวค่ะ

แอร์ก็มีนะคะ แต่แทบไม่ได้เปิดเลย เพราะอากาศเย็นอยู่แล้ว กลางคืนนี่หนาวมากเลยค่ะ
โต๊ะเขียนหนังสือข้างเตียง มีสมุดบันทึกเล่มเล็กให้แขกที่มาพักห้องนี้เขียนความประทับใจเอาไว้ด้วย
ห้องน้ำเป็นแบบ Outdoor อาบน้ำตอนกลางคืนหนาวสะท้านดีนักแล 

แต่ดีว่ามีเครื่องทำน้ำอุ่นประสิทธิภาพดี และน้ำก็แรงดีมาก
มาถึง Highlight ของห้องนี้ที่อยากมานั่งเล่นแล้ว

ตรงระเบียงนี่เลยค่ะ เบาะสีแดง น่านอนเล่นยิ่งนัก
เอาเข้าจริงๆ จำไม่ได้ว่าได้มานั่งตรงนี้มั้ย เหมือนไม่ได้นั่งเลย

เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับเด็กจิ๋ว เวลามาเล่นตรงนี้ กลัวเด็กร่วงลงไปข้างล่างมาก
อย่างที่รู้ๆกันนะคะ ที่ไร่แสงอรุณจะมีสองฝั่ง คือฝั่งแม่น้ำโขงที่เราพัก กับอีกฝั่งตรงข้าม

ทั้งสองฝั่งมีถนนกั้นค่ะ ตอนบ่ายแก่ๆ เดินข้ามไปเที่ยวฝั่งโน้นร้อนมากจริงๆ แดดแรงอ่ะ
ตอนนี้นาข้าวสองข้างทางถูกเกี่ยวไปหมดแล้ว เหลือแต่ดินดำๆ 
เคยเห็นรูปที่เขียวๆไปด้วยข้าวของฝั่งนี้ สวยมากทีเดียว

ฝั่งนี้จะมีบ้านพักอยู่หลายแบบเลยทีเดียว สามารถหาดูรายละเอียดได้ใน BP นี่นะคะ
เดินกลับมาฝั่งที่เราพักดีกว่า
ฝั่งแม่น้ำ จะมีบ้านพักสามหลังคือ ริมโขง 1 2 3 มีส่วนทานอาหาร และล้อบบี้
ด้านหน้ารีสอร์ทมีปลูกผักสวนครัวงามมากๆ 

อันนี้เป็นต้นหอม เพิ่งเคยเห็นดอกของต้นหอมเป็นครั้งแรก
ถัดเข้ามาจะเจอแปลงผักกาดเขียว
ใบสดน่าหม่ำมากๆ
มื้อเย็นนี้เราสั่งสลัดถึงสองจาน ได้หม่ำใบเขียวๆนี่แน่
คึ่นฉ่ายก็มี
รีบอาบน้ำให้เด็กจิ๋วก่อนเลย เพราะกลัวมืดแล้วอากาศเย็นจะอาบไม่ไหว
อาบน้ำเสร็จก็มาเดินเล่นถ่ายรูปกัน 
เด็กจิ๋วทำท่าถ่ายรูปเลียนแบบปะป๊า 

แต่ตัวเตี้ยไปหน่อยเลยได้ท่านี้
ในรีวิวนี้เด็กจิ๋วเพิ่งจะสองขวบ ตอนปัจจุบันใกล้สามแล้ว

หน้าตาและรูปร่างเปลี่ยนไปเยอะเลย ตอนนี้ผอมเพรียวไม่จ้ำม่ำเหมือนในรูปแล้ว
ตรงที่เรามาดูวิวพระอาทิตย์ตกดิน นี่เป็นบริเวณห้องประชุม ห้องสัมนาริมน้ำ
คนที่นี่บอกว่าให้มาชมพระอาทิตย์ตกตรงนี้จะสวยที่สุด
บ้านริมโขง ยามพระอาทิตย์ใกล้ลับฟ้า
ระเบียงห้องเรา
บรรยากาศยามเย็นดีมากๆ มีนกบินกลับรังเป็นฝูงๆ
ใกล้มืดเต็มทีละ
วันนี้ไม่เห็นพระอาทิตย์ตกดวงกลมๆ แต่มองไปอีกฝั่ง เห็นพระจันทร์เต็มดวง
พระจันทร์ดวงใหญ่มาก ยังกับพระอาทิตย์เลย
ฝั่งพระอาทิตย์ตกเห็นแต่แสงส้มๆ


มื้อเย็นเราทานอาหารกันตรงนี้ 
น้ำสตรอเบอรี่ปั่นแสนอร่อย และผักสดมากๆ

ไม่มีรูปอาหารนะคะ เพราะแสงน้อยมาก ไม่สามารถถ่ายมาได้ค่ะ
ระเบียงห้องตอนกลางคืน จำไม่ได้จริงๆว่ามียุงมั้ย

ไม่คุ้นเลย หรือว่ายุงกลัวหนาว เลยไม่มากวนเลย
เบาะแดงอันนี้เป็นที่นอนของปะป๊าคืนนี้ เพราะเตียงเป็นแบบ Queen Size
ไม่สามารถเบียดกันได้ เพราะเด็กจิ๋วนอนดิ้นมาก ไปนอนใกล้ๆ เจอดิ้นใส่จุกไปตามๆ กัน

ปะป๊าเลยขอลากเบาะเข้ามาปูพื้นนอนในห้องดีกว่า
บ้านหลังเล็กไปหน่อยสำหรับ 4 คน ปูเบาะนอนกันเต็มห้อง ไม่มีทางเดินเลย

จริงๆ เค้าก็ออกแบบมาให้อยู่แค่สองคน เรามากันเยอะเองนิ
เช้ามืดอีกวันหนึ่ง ปะป๊าตื่นมาทันพระจันทร์ยังไม่ตกดินเลย
อยู่ฝั่งนี้มองไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเลย 

เคยดูรีวิวว่าถ้าพักบ้านอีกฝั่งของถนนจะเห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้นสวยมาก
แปลงผักตอนเช้าสดชื่น
ที่เห็นหลังคาบ้านใหญ่ๆอยู่ริมน้ำ คือเรือนห้องประชุมสัมมนา
กะหล่ำงามๆ
แล้วก็สตรอเบอรี่แสนอร่อย
เด็กจิ๋วเดินเล่นในแปลงสตรอเบอรี่ เจอคุณป้ากำลังดูแลแปลงสตรอเบอรี่
เจอต้นสตรอเบอรี่ครั้งแรก ตื่นเต้น
เดินเล่นซักพัก ก็ได้เวลาอาหารเช้าค่ะ
อาหารเช้าเป็นชุดสั่งได้คนละอย่างค่ะ เลือกเอาว่าเป็นแบบฝรั่ง หรือข้าวต้ม

ของปะป๊าเป็นแบบฝรั่ง ของแม่ข้าวต้ม รสชาติอร่อย
อาหารเช้าริมโขง อากาศเย็นสบาย จะมีอะไรดีเท่านี้
วันนี้พยายามจะเดินไปฝั่งโน้นใหม่ เพราะเมื่อวานแดดร้อน
แต่เดินไปได้หน่อยก็กลับอีกแล้ว เพราะดูทางเดินยาวไกลเหลือเกิน 

แล้วพอสายๆก็เริ่มร้อนอีกแล้ว
กลับห้องมานั่งเล่นได้ซักพัก ก็ได้เวลาเก็บข้าวของกลับบ้านละ
เด็กจิ๋วเจอของเล่นสุดโปรดแขวนอยู่ที่ระเบียง
ไม้กวาดขนาดกำลังน่ารัก เด็กจิ๋วถือได้พอดีเลย 

กวาดระเบียงให้ซะเอี่ยมเลย
จบรีวิวนี้ไว้ที่ไร่แสงอรุณนะคะ 
เป็นทริปที่สนุกและประทับใจมากค่ะ 
เด็กจิ๋วต้องบ๊ายบายไปก่อนนะคะ เจอกันรีวิวหน้าที่ยังไม่แน่ใจว่าจะทำภาพที่ไหนเสร็จออกมาก่อน 

มีดองไว้มากมายจริงๆค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น