วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

@Krabi (Centara Grand Beach Resort, Tup Kaek Sunset Beach Resort, Red Ginger)

สวัสดีค่ะ วันนี้เด็กจิ๋วจะมาพาไปเที่ยวกระบี่ค่ะ
ซึ่งจะเป็นการเดินทางโดยเครื่องบินเป็นครั้งแรกในชีวิตของเด็กจิ๋ว
ปะป๊ากับแม่ลุ้นระทึกกันมากว่าจะเป็นยังไงบ้าง เพราะเด็กจิ๋วไม่ธรรมดา
...และแล้วสิ่งที่เรากลัวก็เกิดขึ้นจนได้ เด็กจิ๋วร้องไห้อาละวาดง่วงนอนแบบเต็มสตรีมอ่ะค่ะ
ร้องเป็นเวลาร่วม 20 นาทีก่อนเครื่องลง แม่เดาว่าคงปวดหู และง่วงนอนด้วย เพราะเป็น Flight เช้าสุดของ Air Asia
ใครที่เดินทางพร้อมเด็กจิ๋ววันนั้น เด็กจิ๋วต้องขอโทษงามๆด้วยนะคะ ที่รบกวนขนาดนั้น ลูกสาว
แม่เข็ดขยาดมาก ต่อไปต้องไปรถส่วนตัวเท่านั้นจนกว่าเด็กจิ๋วจะโต และพูดรู้เรื่องแล้วค่ะ
ทริปนี้เราย้ายที่พักกันทุกคืน ถ้าไม่มีรถคงลำบาก 
เราเลยหลอกอากงอาม่ามาเที่ยวด้วยกัน อากงอาม่าก็เต็มใจให้หลอก 
เพราะรู้ว่าจะได้ใช้เวลากับหลานรักหลายวัน
อากงขับกระบะคู่ชีพมาจากราชบุรี มารับเราที่สนามบิน 
แล้วก็ไปจอดรถที่ Office ของ Centara Grand Beach Resort 
เรานั่งรถตู้ของรีสอร์ทมาที่ท่าเรือหาดนพรัตน์ธารา เพื่อขึ้นเรือไปที่รีสอร์ท
เนื่องจาก Centara Grand Beach Resort ตั้งอยู่ในเวิ้งอ่าวที่รถเข้าไม่ถึง
การเดินทางทำได้ 3 ทาง คือเรือ เดินเขา หรือลุยน้ำทะเลตอนน้ำลง
อันนี้เป็นเรือของทางรีสอร์ทที่มารับ
นั่งเรือประมาณ 10 นาทีก็มาถึง..มีเจ้าหน้าที่เดินมารับไป Check in ที่ Lobby
อันนี้แอบขัดใจเจ้าหน้าที่ที่มารับค่ะ เพราะเรามาถึงก็ตื่นเต้นกับวิว และความงามของที่นี่
เราหยุดถ่ายรูปกันที่ป้ายหน้ารีสอร์ท และปะป๊าก็ถ่ายรูปโน่นนี่ไปเรื่อย 
น้องพนักงาน เดินนำไป พวกเราเดินตาม มีแต่ปะป๊าที่รั้งท้าย เพราะมัวแต่ถ่ายรูป
อันนี้พวกเราชินแล้ว ก็ทิ้งๆปะป๊าไป เดี๋ยวเดินตามมาเอง โตแล้วคงไม่หลงทาง
เราก็บอกน้องพนักงานว่าเดี๋ยวเค้าเดินตามมาเอง 
น้องดูหงุดหงิด ทำหน้าเบื่อๆ แล้วบอกว่าเดินไปพร้อมกันดีกว่านะคะ 
เดี๋ยวค่อยกลับมาถ่าย แล้วเดินมาต้อนปะป๊าให้ไปพร้อมกัน
อาม่าก็ยังว่า ทำไมต้องไปพร้อมกันด้วย เราก็เลยสงสัยว่า lobby มันไปยากเป่า เดี๋ยวเดินไม่ถูกมั้ง
ก็ไม่ใช่ซะหน่อย เดินนิดเดียวก็ถึง แถมต้องรอเช็คอินนานมากกกกก 
เดินมาปะป๊าก็ไม่ได้ทำไร หน้าที่เช็คอินเป็นของแม่อยู่แล้ว
พอเช็คอินเสร็จแล้ว น้องเจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะ Upgrade ห้องให้เรา
จากที่เราจองห้องแบบ Premium Ocean Facing มา 2 ห้อง เค้าจะ Upgrade เป็นห้อง Spa Deluxe Ocean Facing ให้ 1 ห้อง ส่วนอีกห้องก็ตามที่เราจองมา
(เราซื้อ Voucher มาจากงานท่องเที่ยว Premium Ocean Facing 2 ห้อง ราคา 4,000 บาท/ห้อง/คืน ค่ะ)
เรารอเข้าห้องกันนานพอสมควร ดีที่พกอุปกรณ์แก้เบื่อมาให้เด็กจิ๋วด้วย
รอประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้ขึ้นไปบนห้อง
ห้องเราอยู่ตึกในๆ ชั้น 3 เดินไกลพอควร ขึ้นไปก็เห็นวิวแบบนี้
ความจริงอยากได้ตึกที่ใกล้ๆด้านหน้ามากกว่านี้ เพราะวิวคงสวยกว่านี้ 
มองดูแล้วไม่น่ามีต้นไม้บังมากด้วย
ไม่เป็นไร แค่นี้ก็งามแล้ว
อันนี้เป็นภายในห้อง Premium Ocean Facing ซึ่งเป็นห้องที่เด็กจิ๋วจะนอน
ห้องที่ได้ upgrade ยกให้อาม่าอากงไป
ความจริงห้องทั้งสองแบบ ข้างในไม่ต่างกันมาก Layout ต่างนิดหน่อย
ที่เพิ่มมาคือ มีอ่าง Jacuzzi ที่ระเบียงเท่านั้นเอง
อันนี้เป็นห้อง Spa Deluxe Ocean Facing 
ตอนโทรมาจอง เราก็แจ้งเจ้าหน้าที่ขอให้จัดห้องนึงให้เป็นแบบ Honeymoon เพื่อจะ Surprise อากงอาม่า
หัวเตียงเป็นโต๊ะเขียนหนังสือ มี Welcome Fruit ด้วย
มีเรื่อง Welcome Fruit นี่มาเล่านิดหน่อย
คือตอนที่น้องเจ้าหน้าที่กำลังแนะนำห้องอยู่นั้น ก็บอกเราว่าห้ามเปิดประตูห้องไว้เด็ดขาด
เพราะจะมีเจ้าถิ่น คือบรรดาลิงๆ ทั้งหลาย เข้าไปเล่นด้วยในห้อง 
พูดเสร็จหันมาอีกที ลิงวิ่งเข้าไปหยิบ Welcome Fruit ไปกินละ รวดเร็วมาก
น้องเค้าวิ่งไปเอาไม้ยาวๆ มาไล่ ลิงก็หนีไป เลยได้ Welcome Fruit จานใหม่มาภายหลัง
เรื่องลิงนี่ยังมีอีกเยอะค่ะ เราว่ามันก็เป็นอุปสรรค ในการพักผ่อนอย่างนึงนะคะ 
เพราะบ้านเราไม่ค่อยถูกชะตากับลิงค่ะ ความจริงก่อนไปก็พอรู้ว่าที่นี่มีลิงเยอะ แต่ไม่รู้ว่าเค้าจะมาใกล้ชิดเราขนาดนี้ค่ะ
ห้องน้ำก็กว้างขวางดีค่ะ 
ทั้งแบบ Premium Ocean Facing และ Spa Deluxe Ocean Facing ห้องน้ำเหมือนๆกันค่ะ 
มีอ่างอาบน้ำ ห้อง Shower และห้องสุขา แยกเป็นสัดส่วน
ห้องเรากับห้องอาม่าอยู่ติดกัน อาคารนึงแต่ละชั้นก็มี 2 ห้อง 
ระเบียงห้องเรากับห้องอาม่า เดินเชื่อมถึงกันได้ 
ปกติถ้าแขกคนละคณะ เข้าก็จะมีฉากกั้นปิดระหว่างระเบียงของสองห้อง
แต่เรามาด้วยกันก็เปิดโล่ง เราเลยได้ระเบียงอันใหญ่มาก
อ่าง Jacuzzi ตรงระเบียงห้องอาม่า ไม่ได้มีโอกาสแช่เลย
เปิดน้ำเอาไว้ แป๊บเดียว ลิงก็มานั่งเล่นและกินน้ำที่อ่างด้วยค่ะ
ความจริงตอนเย็นๆ พวกคุณลิงก็พากันกลับบ้านเค้าหมดนะคะ 
ไม่มีออกมาให้เห็นเลย แต่ตอนเย็นเราก็ไปเดินเล่นที่หาดกัน เลยไม่ได้อยู่ที่ห้อง
ถ้าเย็นๆ นั่งแช่อ่าง ดูพระอาทิตย์ตกดินตรงนี้ คงจะสวย และสบายมากๆเลยค่ะ
อันนี้เป็นระเบียงด้านข้างห้อง คือพอเปิดประตูห้องเข้ามา จะเจอส่วนนี้ก่อนเลย
แล้วถึงจะมีประตูเปิดเข้าห้องนอนอีกที
ซึ่งตรงนี้เราก็ไม่ได้มานั่งเล่นเลย เพราะช่วงกลางวันคุณลิงมาวิ่งเล่นกันตลอดเวลา
และอย่างที่บอกว่าพอเย็นคุณลิงกลับบ้าน เราก็ไปเดินเล่น กินข้าวที่ข้างล่าง เลยไม่ได้มาใช้พื้นที่ตรงนี้เลย
เราอยู่ที่นี่แค่คืนเดียวด้วย เลยเหมือนยังใช้พื้นที่ต่างๆ ไม่ทั่วถึงเลย
ในภาพจะเห็นมีไม้ยาวๆ วางไว้ เอาไว้ขู่คุณลิงค่ะ ตอนแรกอากงไม่รู้ เอาหมอนไปทำท่าไล่ๆ ขู่ๆ 
คุณลิงไม่กลัวเลยค่ะ หันมาขู่ฟ่อๆ แยกเขี้ยวใส่ แขกห้องอื่นมองเห็นมาจากระเบียงห้องเค้าตะโกนมาบอกว่า ต้องใช้ไม้ๆ
อากงหันมาหยิบไม้ คุณลิงก็วิ่งหนีไปเลยค่ะ ไม้ยาวๆ แบบนี้จะมีเสียบไว้ในแจกันทรงสูง วางไว้ทั่วรีสอร์ทค่ะ
มองจากมุมนี้จะเห็นภาพว่าระเบียงด้านหน้าทะเล ปกติจะมีฉากกั้นได้ค่ะ ตรงโครงไม้ที่เห็นน่ะค่ะ
สำรวจห้องเรียบร้อย เด็กจิ๋วนอนหลับหนึ่งตื่น เราก็ลงไปสำรวจรอบๆรีสอร์ทกันค่ะ
ทางเดินภายในรีสอร์ท ที่นี่ก็จะเน้นต้นไม้เยอะ ร่มรื่นดี แต่ไม่รกจนเกินไป
สระว่ายน้ำที่นี่น่าเล่นมาก กว้างขวาง น้ำสีฟ้าสดใส วิวก็งาม
เด็กจิ๋วขอลงน้ำก่อนเลย สระน่าเล่นขนาดนี้ ไม่มีพลาดอยู่แล้วค่ะ
รูปนี้ฝีมือแม่ถ่าย กดไปหลายสิบรูป ปะป๊าบอกว่าใช้ได้รูปเดียวอ่ะ
เดินไปดูหาดทรายกันบ้างค่ะ
มีเปลให้นอนเล่น
มีเก้าอี้อาบแดดให้นอนเล่นอยู่รอบๆบริเวณ
ความจริงรูปริมหาดพวกนี้ถ่ายตอนเช้ารุ่งขึ้นอีกวัน
เพราะช่วงสายๆ บ่ายๆ เก้าอี้พวกนี้ก็จะถูกจับจองเต็ม
ส่วนมากจะเป็นชาวต่างชาติที่รักแสงแดด ไม่ค่อยเห็นคนไทยมานอนรับแดดเท่าไหร่
ชายหาดที่นี่ดูเผินๆเหมือนจะน่าเล่น แต่เอาเข้าจริงๆ ทรายค่อนข้างจะหยาบ น้ำก็ไม่ค่อยใส
เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเจอกับห้องอาหาร On The Rock อยู่ริมหาดด้านหน้าติดกับสระว่ายน้ำ
ตอนเย็นวันที่เราไป ห้องอาหารนี้เสิร์ฟเป็น Grill Buffet ปะป๊าอยากลองมาก
แต่เสียงส่วนใหญ่ไม่เอา เลยต้องไปกินที่ห้องอาหารไทยแทน
ตรงนี้นอกจากเป็นห้องอาหารแล้ว ยังเป็น Bar ด้วย
ตอนกลางวันไม่ค่อยมีแขกเท่าไหร่ ถ้าเป็นตอนเย็น จะจองกันเต็มหมด
ตอนรอเช็คอินเราก็มานั่งที่นี่ หามุมร่มๆหน่อย ลมพัดเย็นดี
ตอนเย็นพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน น้ำลงไปเยอะมาก
เด็กจิ๋วมาวิ่งเล่นเหยียบทรายตรงนี้ สนุกมากๆ
ช่วงเย็นพอน้ำลงเยอะๆ สามารถเดินไปอ่าวนางได้ เดินอ้อมโขดหินนี้ไป
ไม่ไกลมาก เห็นฝรั่งกับพนักงานรีสอร์ทเดินกันไปเยอะแยะค่ะ
บรรยากาศก่อนพระอาทิตย์ตกดีมากๆ อากาศดี ลมพัดเย็นสบาย
เย็นย่ำแบบนี้ เก้าอี้ก็ถูกทิ้งว่างเหมือนกัน 
เวลานี้แขกส่วนใหญ่คงอยู่ที่ห้อง เตรียมอาบน้ำอาบท่าลงมาทานอาหารค่ำกัน
แสงสวยๆ
เดินเป็นคู่ โรแมนติกดีค่ะ
ชิงช้าตัวเดิม
มาดูบรรยากาศยามเย็นที่ห้อง On The Rocks กันค่ะ
อย่างที่บอกว่ามื้อเย็น โต๊ะที่ห้องอาหาร On The Rocks จะเต็มเกือบหมด 
แขกส่วนใหญ่จองไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะโต๊ะที่ติดริมหาดแบบนี้
อาหารค่ำในบรรยากาศแบบนี้ โรแมนติกอีกแล้ว
เดินลงหาดไปดูพระอาทิตย์ตกน้ำกันค่ะ
น้ำลงไปเยอะมากจริงๆ มิน่าถึงได้ทำ Jetty ซะยาวเชียว
เดี๋ยวเราเดินออกไปดูพระอาทิตย์ให้ใกล้กว่านี้ที่ปลาย Jetty นี่ดีกว่า
ถึงแม้ตอนเราจะไปจะยังเป็นหน้าฝน (ปลายตุลาคม) ฟ้าไม่ใสกิ๊ก เมฆฝนเต็มท้องฟ้า
แต่ก็ยังโชคดีที่ยังได้เห็นแสงสวยๆแบบนี้

ที่บ้านเราตัดสินใจมาพักที่นี่ เพราะหินก้อนนี้อันเป็นเอกลักษณ์ของที่นี
ได้ดูรีวิวจากเพื่อนๆ ในห้องนี้ก็ตั้งใจแน่วแน่เลยค่ะ ว่าจะต้องมาที่นี่ให้ได้
ชื่นชมกับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินเสร็จแล้ว 
เราก็มาทานอาหารเย็นกันที่ห้องริมทราย
ใช้บัตร Central Card ลดค่าอาหารได้ 5% ด้วย ดีใจมากเลย ดีกว่าไม่ได้ลดซักบาท
อิ่มแล้วเดินชมสระน้ำยามค่ำคืน
เปิดไฟสวย น้ำเป็นสีเขียวใสน่าว่ายมากๆ
เดินจากห้องริมทราย เข้ามาในอาคาร จะมีทางลงไป Deep BLU Bar and Lounge 
เดินผ่านไปดู บรรยากาศดีเชียวค่ะ แต่ไม่ได้เข้าไปนะคะ
ตอนกลางคืนหลับสบายดีมากค่ะ เด็กจิ๋วก็หลับสบายไม่กวนเลย คงเพลียจากการเดินทางเมื่อวาน
ไม่ได้ถ่ายรูปห้องอาหารเช้ากับไลน์อาหารมาเลยนะคะ 
ไม่สะดวกค่ะ เพราะคนค่อนข้างเยอะ โต๊ะที่นั่งเต็มหมด บรรยากาศค่อนข้างว้าวุ่น
บางโต๊ะที่นั่ง outdoor ก็มีคุณลิงกระโดดลงมาร่วมวงด้วย ให้ตื่นเต้นเป็นระยะๆ
เช็คเอาท์ออกจากที่นี่กันแล้ว เราก็จะย้ายที่พักไปที่หาดทับแขกค่ะ
เราลาจาก Centara Grand Beach Resort and Villas กันด้วยภาพนี้ค่ะ
ที่พักที่ต่อมาของพวกเราคือ ทับแขก ซันเซ็ท บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา
อยู่ที่หาดทับแขก กว่าจะไปถึงก็วิ่งเลยไปเลยมา เพราะมองไม่เห็นป้าย
ความจริงเล็ง ทับแขก บูทิค รีสอร์ทไว้ แต่ราคาสูงไปนิด ปะป๊าไม่สู้ราคา
บอกว่าที่นี่อยู่ใกล้กัน วิวก็เหมือนกัน เอาอันราคาย่อมเยาดีกว่า
ไม่ได้ถ่ายภาพบ้านพักตอนมาถึงไว้เลย อันนี้ถ่ายตอนเช้ามืดค่ะ
ห้องที่เราพัก เป็นแบบ Beach Front นะคะ อยู่แถวแรก 
มองเห็นชายหาดแบบไม่มีอะไรมาบังนอกจากต้นไม้
ซื้อ Voucher มาจากงานท่องเที่ยว ราคาห้องละ 2,500 บาทค่ะ
มี Welcome Fruit แช่เย็นไว้ให้
ห้องน้ำก็สะอาดสะอ้าน มีอ่างอาบน้ำด้วย
แต่ไม่มีเคาท์เตอร์อ่างล้างหน้า วางของไม่ค่อยสะดวก
เตียงนอน
ระเบียงหน้าห้อง
มาถึงเด็กจิ๋วก็ขอเล่นทรายก่อนเลย เพราะที่ Centara ไม่ได้เล่นทรายเลย
ทรายที่หาดนี้น่าเล่นกว่าตรง Centara ค่ะ
เล่นทรายเสร็จก็ลงสระ ตามระเบียบ
สระที่นี่ไม่ใหญ่มาก แต่ก็เล่นสนุกค่ะ
สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจมาพักที่หาดทับแขกคือวิวป่าเกาะที่เห็นเบื้องหน้าค่ะ
เคยเห็นภาพพระอาทิตย์ตกดินที่หาดนี้สวยมากๆ แต่วันนี้คงอดเห็น เพราะฟ้าปิดมากๆ
ร้านอาหารของรีสอร์ท วันนี้เราทานอาหารเย็นกันที่นี่ค่ะ
ช่วงหัวค่ำ ยุงที่นี่ดุมาก แม่โดนไปหลายตุ่ม คันอยู่เป็นอาทิตย์กว่าจะหายค่ะ
เมฆจะเยอะไปไหนเนี่ย
แต่จะว่าไป ก็เป็นความผิดเราเอง ที่ดันมาฤดูนี้
วิวป่าเกาะของหาดทับแขก
อาหารเย็นวันนี้เรานั่งทานกันบนชายหาดอย่างนี้เลยค่ะ 
บรรยากาศดีมาก เสียเรื่องเดียวคือยุงค่ะ
โชคยังดีที่ฝนไม่ตกลงมา เรานั่งทานข้าวกันได้ตลอดรอดฝั่งค่ะ
ความจริงวันพรุ่งนี้เราต้องเดินทางกลับกรุงเทพกันแล้ว
แต่ปะป๊าบอกว่ามากระบี่ทั้งที ยังไม่ได้เห็นทรายขาวๆ น้ำทะเลสวยๆเลย
บวกกับว่าช่วงนั้นที่กรุงเทพน้ำท่วมอยู่ และมีการประกาศวันหยุดเพิ่มเนื่องจากภาวะน้ำท่วมด้วย
เราเลยตกลงใจอยู่ต่ออีกหนึ่งคืน เพื่อไปตามหาทรายขาวๆ น้ำทะเลสีสวยกัน
โชคดีที่ไฟลท์ขากลับของเราเป็นการบินไทย สามารถเลื่อนวันเดินทางได้ไม่เสียตังค์
ส่วนอากงอาม่าเอารถมาเอง กลับเมื่อไหร่ก็ได้อยู่แล้ว สบาย
บรรยากาศยามเช้าที่หาดทับแขก
ดูเหมือนวันนี้จะไม่มีเมฆฝน ภาวนาขอให้วันนี้ไม่มีฝนด้วยเถอะ
เพราะเราจะไปนั่งเรือทัวร์ 4 เกาะกัน
เหมือนวันนี้ฟ้าจะใสเนอะ ดีใจๆ
หน้าตาเรือที่เด็กจิ๋วจะนั่งไป
แอบหวั่นใจมาก เพราะดูไม่ค่อยปลอดภัย
แต่ลุงที่ขับเรือยืนยันความปลอดภัย เพราะวันนี้คลื่นลมสงบมาก
และบวกกับ ทั้งอากง อาม่า และปะป๊าว่ายน้ำเก่งกันทุกคน ยังไงคงไม่มีอันตรายน่า
เรือ Speed Boat ก็มีให้บริการ แต่ราคาสูงกว่ามาก และกระแทกกว่าด้วย
ตอนที่มาถึงทะเลแหวก ก็มองไม่ค่อยเห็นแหวกแล้ว เพราะน้ำเริ่มขึ้นแล้ว
เลยเดินมาอีกด้าน มาดูปลาดีกว่า
เด็กจิ๋วตื่นเต้นกับปลามาก
คือความจริงมีสาวๆกลุ่มนึง เอาขนมปังให้ปลา ปลาเลยมากันเต็ม
อากงก็อุ้มเด็กจิ๋วไปยืนเนียนดูกับเค้าด้วย
วันนี้ก็สมใจปะป๊าแล้ว ได้เจอทรายขาว น้ำทะเลสีสวย แถมฟ้ายังใสอีกต่างหาก
นี่เป็นการลงทะเลครั้งแรกของเด็กจิ๋วเลย
ปกติไปแตะๆทรายเฉยๆ ไม่เคยลงน้ำ
หน้าตาตื่นเล็กน้อย
น้ำใสจริง
มีเรือนักท่องเที่ยวจอดกันเยอะมาก
ถ้ามองไปตรงที่เป็นทะเลแหวก จะเห็นคนพรึ่บมาก แต่ปะป๊าไม่ได้เลือกรูปมาลง
คนเดินลุยน้ำทะเลแหวกกัน เป็นภาพที่คุ้นๆมาก เหมือนภาพคนเดินลุยน้ำท่วมที่กรุงเทพเลย
นึกย้อนไปแล้ว ปีนี้ขออย่าให้เกิดแบบนั้นอีกเลยน้า...
บ้านญาติเราบางคนที่โดนท่วมหนักๆ จนบัดนี้ยังไม่กลับมาเหมือนเดิมเลย
เมื่อกี้แม่เพิ่งแอบบ่นคนที่เอาขนมปังให้ปลาไปว่าไม่ดี มันทำลายระบบนิเวศ
เผลอแป๊บเดียวอากงเอาขนมปังให้เด็กจิ๋วเอาให้ปลากินละ
มันน่าโมโหจริงๆ ไม่รู้แอบซื้อขนมปังมาตอนไหน ว่าก็ไม่เชื่อ คนแก่ดื้อจริงๆ
(แต่พอมาเมื่อไม่กี่วันมานี้ อากงมาบอกว่าที่เอาขนมปังให้ปลาน่ะ มันทำให้ระบบนิเวศเสียนะ
อากงดูในทีวี เค้าบอกมา เออ...แล้วตอนลูกตัวเองบอก ทำไมไม่เชื่อก็ไม่รุ้)
มาถึงเกาะปอดะแล้ว ยังสวยเหมือนเดิม
แม่กับปะป๊าเคยมาที่นี่หลายหนแล้ว
เรือสะดวกซื้อ
อาม่าหิว ตัดใจซื้อข้าวโพดมาหม่ำ ฝักละ 40 บาท
อาม่าบ่นอุบเลยว่าแพง กินจนหมดเกลี้ยง แทบจะกินฝักมันเข้าไปด้วย
เด็กจิ๋วก็ขอชิมด้วย อาม่าบอกว่าอร่อยดี ไม่แน่ใจว่าเพราะหิว หรือว่าเพราะแพง
เด็กจิ๋ว มา Chill Out ที่เกาะปอดะ นะคะ
เรานั่งเล่นกันอยู่ที่นี่พักใหญ่ หาดทรายขาว น้ำทะเลก็สวยจริงๆ
มองไปทางไร่เลย์ ภูเขาสวยมากๆ
น้ำใสมากๆ
ไม่น่าเชื่อว่าพอออกจากเกาะปอดะมาไม่นาน ฝนก็เทลงมา
เห็นฟ้าใสๆอยู่เมื่อกี้ ตอนนี้ดำทะมึน เลยไม่มีรูปที่ไร่เลย์ กับถ้ำพระนางมาให้ดูนะคะ
อันนี้นั่งเล่นทรายที่หาดใกล้ถ้ำพระนาง หลังฝนหยุดแล้ว
ฟ้าใสหลังฝน
ที่พักคืนนี้ของเราคือ Red Ginger Chic Resort ค่ะ
เราโทรสอบถามก่อนเข้ามาพัก ได้ราคาดีพอสมควรก็เลยตัดสินใจพักที่นี่ค่ะ
และก็เคยเห็นรีวิวที่นี่จากใน BP เลยทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้นด้วยค่ะ
(ราคา Walk in 1,600 บาท)
พอเราจอดรถเดินมาเช็คอิน ไฟก็ดับทันทีเลยค่ะ 
สามารถขึ้นไปบนห้องได้ แต่ใช้ไฟไม่ได้
ตัวก็เลอะๆเทอะๆมาจากเที่ยวเกาะ เลยต้องอาบน้ำมันทั้งมืดๆยังงั้น
ไฟดับอยู่นานพอสมควร พอไฟติดเราก็พบว่าห้องที่นี่สวยเก๋มากเลยทีเดียว
แต่สำหรับเด็กจิ๋ว สระน้ำที่นี่เป็นอะไรที่ดึงดูดที่สุดแล้ว
พักที่นี่ลงน้ำสองรอบเลย เย็นรอบนึง ตอนเช้าก่อนกลับอีกรอบนึง
สนุกสุดขีดที่สระนี้ เล่นนานมากๆ
มาดูห้องที่นี่กันบ้างดีกว่า
ห้องที่เราพักเป็นแบบ Superior
ตกแต่งด้วยสีแดง สมกับชื่อรีสอร์ท ผ้าม่านก็แดง
ส่วนล้างหน้า ที่นี่มีห้องอาบน้ำ แต่ไม่มีอ่างอาบน้ำนะคะ
ส่วนห้องอาบน้ำจะมืดๆหน่อย ไม่ได้ถ่ายมานะคะ
ระเบียงห้อง
วิวจากระเบียงห้องเห็นสระว่ายน้ำ และห้องอาหารของรีสอร์ท
ปรากฏว่าปะป๊าบอกว่าชอบที่นี่มากที่สุด ที่ไปพักมา 3 วันเลย
เพราะที่นี่ถ่ายรูปสนุกสุด โรงแรมดีไซน์สวยเก๋ดี

ทางเดินไปสระว่ายน้ำ
จะเห็นว่าชั้นล่างสุดของตึกห้องพัก จะเป็นห้องที่สามารถลงสระจากห้องได้เลย
อันนี้ไง ห้อง Deluxe Pool Access
ห้องอาหารของรีสอร์ท ตอนเช้าเราก็จะมาทานอาหารเช้ากันที่นี่
สะท้อนสระว่ายน้ำ แสงสวยดี
ภายในห้องอาหาร ตกแต่งสวยงามน่านั่ง
ยังคง theme แดง ขาว ดำ
ห้องอาหารจะเป็นแบบ Open Air นะคะ
ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ตอนเราไปฝนตก เลยไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่
เดินลงมาดูล้อบบี้กันบ้าง 
ที่นี่มี Wifi Internet ให้ใช้ฟรีเฉพาะตรงล้อบบี้ และสระว่ายน้ำนะคะ
บนห้องใช้ไม่ได้ค่ะ
บาร์สีสวยตรงล้อบบี้
เช้าวันที่เราจะกลับ ฟ้าสดใสมาก 
มา 3 วันเลยรู้แพทเทิร์นละ ว่าช่วงนั้นที่กระบี่ เช้าฟ้าใส บ่ายๆ เย็นๆ ฝนตก 
เป็นอย่างนี้ทั้งสามวันที่เราอยู่ที่นั่นเลย
วันนี้จะกลับบ้านแล้ว ไม่มีไปเที่ยวไหนอีก ไม่เร่งรีบ 
ตื่นสายเล็กน้อย แล้วมาทานอาหารเช้ากันแบบชิลชิล
ชอบต้นไม้แคระที่ประดับบนโต๊ะมาก น่ารัก
หม่ำข้าวเช้ากัน
อาหย่อย
ก่อนกลับแวะถ่ายรูปตรงล้อบบี้ซะหน่อย
กำแพงดีไซน์เก๋มากๆ

บาร์สีสวยเมื่อคืน อยู่ตรงข้ามกับเคาท์เตอร์เช็คอินเลย
จะต้องกลับบ้านแล้วนะเด็กจิ๋ว สามวันนี้ เล่นน้ำ มันส์ไปเลย
ขากลับบ้านเรากลับด้วย TG 
เราเตรียมรับมือเด็กจิ๋วเต็มที่ ทั้งของเล่น ขนม เตรียมไปเต็มที่
แต่คราวนี้เด็กจิ๋วไม่มีงอแง ไม่ร้องเลย คงเพราะมีเสิร์ฟน้ำ ขนมอะไรตลอดเวลา 
ไฟล์ทนี้มีเด็กเล็กเยอะมากด้วย นับได้ไม่ต่ำกว่า 5 คน 
เด็กจิ๋วเห็นเด็กคนอื่นร้องแล้ว ก็เลยไม่ร้องมั้ง อย่างนี้ป๊ากับแม่ค่อยโล่งอกหน่อย
เด็กจิ๋วบ้ายบายไปก่อนนะคะ ทริปหน้าจะพาไปเที่ยวกุยบุรีค่ะ แล้วเจอกันใหม่นะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น