วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

เด็กจิ๋ว@เชียงใหม่ 2011


ทริปนี้วางแผนไว้นานแล้ว ความตั้งใจก็คือจะพาเด็กจิ๋วไปเที่ยวหนาวๆกับเค้าบ้าง แค่นั่นแหล่ะ คุณแม่เลยจัดทริปไปดูซากุระเก๊ที่เชียงใหม่ คำนวณวันไว้อย่างดีแล้ว พญาเสือโคร่งน่าจะบานช่วงนี้แหล่ะ วันที่คำนวณได้ ดันบังเอิญไปจ๊ะเอ๋กับวันที่อี๊ตุ๋มจะไปเที่ยวเชียงใหม่เหมือนกัน ก็เลยได้ไปพร้อมกันเลย 

ออกจากบ้านตอนห้าโมงครึ่ง ไปรับอี๊ตุ๋มที่บ้านรังสิตก่อน ที่จริงควรจะออกแบบสามสี่ทุ่มแล้วไปสว่างที่เชียงใหม่พอดี แต่คุณแม่ไม่อยากผ่านแถวอยุธยาตอนกลางดึก กลัวแก๊งปาหิน ก็เลยต้องรีบออก


การให้เด็กจิ๋วเดินทางไกลแบบนี้ ปะป๊ากับคุณแม่ไม่เคยหวั่นเลย เด็กจิ๋วแค่ได้ออกไปเที่ยวเล่น จะยังไงก็ได้อยู่แล้ว ระหว่างทางส่วนใหญ่ก็หลับได้ดี มีตื่นบางช่วง กินนมในรถ มีกรี๊ดบ้างเล็กน้อย เพราะตอนง่วงจะหลับจะหลับ พวกผู้ใหญ่ก็คุยเล่นกันเสียงดังเลยหลับไม่ได้ การเดินทางก็เรียบร้อยดี ไม่เจอปาหินอย่างที่คุณแม่กลัว



 ขับ รถไปถึงด่านทางขึ้นดอยอินทนนท์ตอนตีสาม เจ้าหน้าที่ยังไม่เปิดให้เข้า ก็เลยนอนรอกันในรถก่อน ภาพนี้บางคนอาจจะงงๆ แต่เป็นภาพประจำของปะป๊ากับคุณแม่เลย คือจะชอบเดินทางกลางคืน ถ้าไม่ไปสว่างที่หมายตอนเช้า ก็ไปจอดรถนอนรอกันแบบนี้แหล่ะ ทำมาหลายครั้งแล้ว บางทีก็นอนในปั๊ม บางทีก็ปูเสื่อนอนหน้าที่ทำการฯ หรือนอนในรถแบบนี้ก็หลายครั้ง 
พอ ตี ๔ เจ้าหน้าที่ก็เปิดด่านให้ขึ้นไป พวกเราก็ขับรถไปที่จุดดูพระอาทิตย์ขึ้น กิ๋วแม่ปาน มีรถขึ้นมาพร้อมๆกับเรา ๓ คัน แสดงว่าไม่ได้มีเราบ้าอยู่คันเดียว
อากาศ หนาวเลย ลืมไปว่าเรามาอินทนนท์กัน ปะป๊าใส่กางเกงขาสั้นเดินไปเดินมา ทั้งดอยก็มีปะป๊ากับอี๊ตุ๋ม ๒ คนนี้แหล่ะที่ใส่ขาสั้น ส่วนเด็กจิ๋วไม่ให้ลงจากรถเลย กลัวว่าจะรับมือไม่ไหว แล้วที่สำคัญกำลังนอนเพลินไม่ยอมตื่น
พระอาทิตย์ขึ้นสวยงาม เสียดายเด็กจิ๋วไม่เห็น 
เสร็จแล้วก็ไปเดินเล่นที่พระธาตุกัน
เดินเล่นถ่ายรูป ดูดอกไม้ เด็กจิ๋วมีแอบกินดอกไม้ไปนิดหน่อย
สายแล้วหมอกยังไม่หมดเลย
กินข้าวเช้ากันที่นี่แหล่ะ ข้างๆพระธาตุมีร้านอาหารสวัสดิการเล็กๆอยู่
เอาอาหารเด็กจิ๋วไปอุ่นมากินด้วยกัน

ขับรถลงจากกิ่วแม่ปานมาหน่อย จะมีทางแยกไปขุนวาง ซึ่งยังอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จะไปดูพญาเสือโคร่งกัน ทางไม่ค่อยไกลมาก แต่ทางขึ้นเขาโค้งไปโค้งมา ใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะไปถึง ที่จริงที่นี่ปะป๊ากับคุณแม่เคยพาอากงอาม่ามาดูพญาเสือโคร่งกันเมื่อสามปี ที่แล้ว แต่มาครั้งนี้แปลกๆ หาจุดชมพญาเสื้อโคร่งไม่เจอ ถามทางจากคนพื้นที่ดู เค้าก็บอกว่าที่นี่ไม่มี ให้ขับรถต่อไปขุนกลาง ด้วยความที่ว่าพอมีลูกแล้วคุณแม่เปลี่ยนไป ไม่ทำการบ้านเรื่องท่องเที่ยวเลย ใช้ GPS นำทางตลอด พอกะเหรี่ยงพื้นที่บอกให้ไปขุนกลาง ก็ไป แต่ขับรถไปเรื่อยๆ เอ มันก็เริ่มงงๆ ขับไปขับมา อ้าว กลับมาจุดเริ่มต้นที่เดิม คุณแม่รีบหาข้อมูล สรุปแล้วก็คือที่เราไปขุนวางนะ ถูกแล้ว แต่จะดูพญาเสือโคร่งต้องเลี้ยวเข้าไปอีกหน่อย ก็ไม่เข้าใจว่ากะเหรี่ยงพื้นที่จะหลอกกันทำไมเนี่ยะ จะย้อนกลับไปก็ไม่ไหวแล้ว ขับรถไปก็ครึ่งชั่วโมงได้ เจ้าหน้าที่เลยแนะนำให้ไปชมอีกจุดหนึ่งที่สถานีกล้วยไม้รองเท้านารี ก็ขับรถไปอีก พอไปถึง ปรากฎว่าดอกไม้ยังไม่บาน สรุปแล้วก็ไม่สำเร็จ ตามหาซากุระไม่เจอ

ระหว่างทางคนในรถก็เมาๆ มึนๆ หูอื้อ ง่วงนอน อ่อนเพลีย แต่เด็กจิ๋วไม่มีอาการเหล่านี้เลย ชิวๆมาก ลั้นลาไปเรื่อย เลยสงสัยว่าเด็กหนึ่งขวบรู้จักเมารถ รู้จักหูอื้อไม๊นะ
ลงจากดอย แวะร้านอาหารข้างทาง ร้านอะไรจำชื่อไม่ได้ อาหารก็ใช้ได้
กิน ข้าวกลางวันเสร็จ ก็รีบขับรถต่อไปเข้าที่พัก วิรันดา จริงๆแล้วรีสอร์ทนี้เป็นเป้าหมายหลักของคุณแม่ในการมาเที่ยวเชียงใหม่เลย อยากมานานแล้ว เราจองตามอี๊ตุ๋มมา เป็นรีสอร์ทห้าดาวสวยงาม ราคาแพงด้วย แต่คุณแม่แลกคะแนนมาฟรีอีกแล้ว 
นี่ เป็นอีกครั้งที่เห็นชัดว่า เด็กจิ๋วทำให้ชีวิตของปะป๊ากับคุณแม่เปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะครั้งล่าสุดที่มาเชียงใหม่เมื่อสามปีก่อน อย่าว่าแต่รีสอร์ทหรูๆเลย โรงแรมโง่ๆก็ไม่ได้นอน ปะป๊ากับคุณแม่ไปอาศัยนอนเต็นท์อยู่ในสวนลำใย กางเต็นท์นอนกันในร่องสวนอ่ะ เต็นท์ดีๆหน่อยแพงกว่าร้อยสองร้อยก็ไม่เอา ต้องเลือกเอาเต็นท์ที่โง่ที่สุด ถูกที่สุด ทั้งธุระกันดาร เละเทะ เต็นท์เล็กนอนเบียด เปียกน้ำค้าง เดินมาห้องน้ำก็ไกล มืดไม่มีไฟ ตอนมาห้องน้ำก็พอว่า แต่ตอนกลับเต็นท์นี้ จะหากันยังไง มืดก็มืด เต็นท์ก็น่าตาเหมือนกันหมด ต้นลำใยก็หน้าตาเหมือนกันหมด แต่ที่สำคัญสุดเลย คือผีดุมาก เพิ่งรู้ว่าการมานอนในร่องสวนแล้วมันน่ากลัวมาก ไม่เหมือนไปกางเต็นท์ตามยอดเขาหรือชายทะเล นอนไม่ได้เลยทั้งคืน  
Welcome Drink ของที่นี่จะขึ้นชื่อมาก ทั้งที่สาขาหัวหินและที่เชียงใหม่ ของเราวันนี้เป็นน้ำอะไรสักอย่างหวานๆเปรี้ยวๆ ก็ไม่ค่อยอร่อยหรอก แต่ที่เด่นคือ เค้าใช้ตะไคร้มาทำเป็นหลอดดูด
ในห้องนอนที่ประทับใจที่สุดคือ เตียงนอน เป็นเตียงพิเศษกว้าง ๘ ฟุต เรานอนกันสามคนสบายเลย
ส่วนห้องน้ำมีทำเก๋ไก๋ เปิดปิดกำแพงห้องน้ำได้ 
อ่างอาบน้ำก็แปลกไม่เหมือนใคร ทำเป็นอ่างหินขัดขนาดใหญ่
ก๊อกน้ำ กับสุขภัณฑ์ดี สายฉีดชำระดีมาก
ในห้องมีโซฟาเบดจตุรัสขนาดใหญ่อยู่ 
เปิด ประตูกระจกบานเลื่อนขนานใหญ่มาเจอระเบียง มีสระน้ำอยู่ ที่จริงเป็นสระประดับ แต่ทางรีสอร์ทบอกว่าให้เด็กจิ๋วลงเล่นก็ได้ ปะป๊าดูแล้วก็ได้นะ สะอาดดี แต่อากาศเย็นเลยไม่ได้ลง 
เด็กจิ๋วคลานเล่นในห้องไปมาสักพัก ก็ไปเดินเล่นด้านหลังห้อง เป็นไร่ชาที่รีสอร์ทปลูกไว้
ท้ายไร่ชาจะมีเรือนไม้ ทำเป็นห้องอาหารเย็นสำหรับให้แขกมาดินเนอร์ มีประดับไฟสวยงาม แต่ท่าทางยุงเยอะมาก
ตอนเย็นๆก็ไปนั่งเล่นกันที่สระว่ายน้ำรวม อยู่ชั้น ๔ ของอีกตึกหนึ่ง
ตึกนี้จะมีพวกฟิตเนส สปา ห้องเด็ก ร้านอาหาร
เด็กจิ๋วติดอี๊นกแจ ไม่ยอมให้ปะป๊ากับคุณแม่อุ้มเลย 
ใกล้ๆสระว่ายน้ำ จะเป็นห้องอาหาร เปิดตั้งแต่เช้าถึงห้าโมงเย็น หลังจากห้าโมง ต้องไปกินกันที่ไร่ชา
ลงมาชั้น ๒ จะเป็นสปา เค้าว่าพระอาทิตย์ตกสวย แต่วันนี้ฟ้าปิดไม่เห็นอะไรเลย
ดูเมนูอาหารที่นี่แล้ว แพงเกินไป มีให้เลือกน้อยด้วย เราเลยขับรถออกไปกินข้าวเย็นข้างนอกกัน
ขับไปหน่อย เจอร้านเปิดใหม่ ครัวบ้านช้าง ที่ร้านจะตกแต่งด้วยไม้แกะสลัก อาหารก็โอเค ปะป๊ากินน้ำพริกอ่อง

ตอนเช้าปะป๊าลุกมาถ่ายรูปตอนตีห้า สวนคุณแม่กับเด็กจิ๋วก็หลับปุ๋ยเหมือนเคย
กว่าเด็กจิ๋วกับคุณแม่จะตื่นก็แปดโมงกว่า
สุขสันต์วันเด็กนะ เด็กจิ๋ว วันเด็กครั้งแรกของหนู ปะป๊ากับคุณแม่พามาเที่ยวเชียงใหม่เลยนะ 
จับเด็กจิ๋วแต่งตัวชุดยีนส์แล้วถ่ายรูปเล่นนิดหน่อย


วันนี้ฟ้ามึดครึ้มอีกแล้วไม่มีแสงเลย
ไปกินข้าวเช้ากัน พอไปถึง อี๊ตุ๋มกับอี๊นกก็กินเสร็จมานั่งเล่นริมสระว่ายน้ำแล้ว 


อาหารเช้าก็โอเค มีตามมารฐาน แต่อี๊ตุ๋มบอกว่าน้อยอย่างไปหน่อย
พาเด็กจิ๋วไปเล่นที่ Kids Club เด็กจิ๋วได้ลูกโป่งเป็นของขวัญวันเด็กด้วย

อี๊ตุ๋มกับอี๊นกพักต่อที่วีรันดาอีกคืน แต่เด็กจิ๋วทุนทรัพย์หมด เลยต้องลดระดับตัวเอง คืนนี้ต้องย้ายไปนอนโรงแรมโง่ๆในเมือง
ออกจากวีรันดา ปลายทางต่อไปคือซากุระที่ขุนช่างเคี่ยน อยู่บนดอยสุเทพ-ปุย แต่ต้องขับเลยเข้าไปหน่อย
พอเลยทางแยกไปดอยปุย ถนนที่ไปต่อก็จะแคบมากแบบเลนเดียว ต้องวัดใจกันว่าแต่ละโค้งจะมีรถสวนหรือเปล่า
ไป ถึงจุดกางเต๊นท์ก่อนถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยงขุนช่างเคี่ยนประมาณ ๓ โล เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ต้องไปต่อแล้ว ปีนี้อากาศมั่วๆ ดอกไม้ไม่ค่อยบาน บางต้นบานได้หน่อย ใบก็ผลิ บางต้นก็ยังไม่บาน ให้ถ่ายรูปพญาเสือโคร่งแถวนี้ไปก่อน
หลังจากผิดหวังจากซากุระสองที่ซ้อน ก็เลยแวะเที่ยวดอยปุยซะเลย 
เคย มาแล้ว ที่นี่จริงๆ ก็ไม่ค่อยมีอะไร จะมีร้านขายของซะเยอะ แล้วก็มีแปลงปลูกดอกไม้ไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปหน่อย แต่ก็โอเค เพราะเจอดอกฝิ่นเยอะพอสมควร
ปะป๊าอยากให้เด็กจิ๋วใส่ชุดชาวเขาถ่ายรูป แต่คุณแม่บอกว่าสกปรกไม่ให้เช่า
เลยไปซื้อชุดใหม่ให้เด็กจิ๋ว ตัวละ ๑๒๐ บาท มีหมวกด้วยใบละ ๔๐ บาท
รีบแต่งตัวเด็กจิ๋วแล้วเอามาถ่ายรูป ฮาซะ
เหมือนมากเลย เพราะเด็กจิ๋วกำลังมีน้ำมูกเกรอะกรังอยู่พอดี
กลับมาบ้าน ปะป๊ายังมาหลอกจาน่าเลย เอารูปให้ดูแล้วบอกว่าเจอเด็กชาวเขาหน้าตาเหมือนเด็กจิ๋วมากเลย
ถ่ายรูปมา จาน่าบอกว่า เออ ใช่ คล้ายๆ แต่ดูจะโตกว่าเด็กจิ๋ว!
โรงแรมที่เราพักคืนนี้ ไม่ได้โง่อย่างที่คิดแหะ เป็นตึกแปดชั้นชื่อ แอ็ท ปิงนคร
ดูเจ้าของโรงแรมมีความพยายามดี โรงแรมเล็กๆ แต่มีการประดับตกแต่งทุกซอกทุกมุมเลย
ห้องที่เราจองไว้มีปัญหา ทางโรงแรมเลยอัพให้เป็น one bed room suit มีห้องนั่งเล่นแยกจากห้องนอนด้วย
ในห้องสะอาดน่าอยู่ ห้องน้ำก็สะอาดขาวไปทั้งห้องเลย
ดาดฟ้าของตึก
เรากินอาหารเย็นกันที่ห้องอาหารของโรงแรมนี่แหล่ะ ขี้เกียจออกไปหากินที่อื่น อาหารโอเค ราคาถูก
เสร็จ แล้วก็โบกรถสองแถวไปเที่ยวถนนคนเดิน ปกตินั่งรถเก๋งธรรมดา คุณแม่ยังไม่ยอมให้อุ้มเลย ต้องนั่งอยู่ใน Car Seat ตลอด มานี่เล่นนั่งสองแถวซิ่งมันซะเลย
เพิ่ง รู้ว่าสองแถวที่นี่ไม่มีเป็นสายๆ เราอยากจะไปไหนก็บอกเค้า รถก็จะขับวนไปวนมาส่งคนให้ครบทุกที่ ราคาแต่ละครั้งก็ไม่เท่ากันแล้วแต่คนขับจะตีราคา ก็ประมาณคนละ ๒๐ บาทได้
อาหารเช้าที่นี่เน้นอาหารเมือง มีข้าวเหนียวหมูปิ้ง แล้วก็กับข้าวต่างๆ มีพวกไข่ดาว หนมปังด้วย
อี๊ตุ๋มอี๊นกให้รถที่วีรันดามาส่งที่นี่ ก่อนจะกลับกรุงเทพฯ เราแวะไปดูทิวลิปหน่อย เห็นติดป้ายโฆษณาไว้
ก็ใช้ได้นะ ดีกว่าที่คิดไว้ ดีกว่าที่งานราชพฤกษ์ 



เสร็จแล้วก็แวะไปกินแฮมเบอร์เกอร์ร้าน Mike's เค้าว่าอร่อยกันมาก กินแล้วก็อร่อยจริงๆด้วย ปะป๊าชอบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น