วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เด็กจิ๋ว@บ้านภูนรินทร์, เขาใหญ่

วันนี้พาเด็กจิ๋วมาเที่ยวเขาใหญ่ ไม่ได้แพลนล่วงหน้าเลย สาเหตุคือแค่ว่าเห็นคนอื่นไปเที่ยวกัน ช่วงนี้ ก็เลยอยากไปบ้าง เด็กจิ๋วมีเสื้อกันหนาวตั้งหลายตัว ยังไม่ได้ใส่เลย คุุณแม่รีบจองที่พักล่วง หน้า ๑ วัน ได้ที่ บ้านภูนรินทร์ ครั้งนี้ไม่เน้นที่พักหรู แค่ขับรถเล่น เที่ยวชิวๆ คืนหนึงก็กลับ
ปลายทางแรกคือ Palio เด็กจิ๋วเคยมาแล้วทีหนึง แต่ครั้งที่แล้วไม่ค่อยได้ถ่ายรูป เน้นมาเฮฮา
ครอบครัว วันนี้เลยวางแผนออกจากบ้านแต่เช้า ๗ โมงไปถึง Palio ๙ โมง ก่อนเปิดชั่วโมงนึง
ปะป๊าก็ได้ถ่ายรูป Palio แบบไม่มีคนได้ในที่สุด
วันนี้แปลก เด็กจิ๋วไม่ค่อยลั้นลาเลย ดูอารมณ์ไม่ค่อยดี เวลาปะป๊าจะถ่ายรูป เรียกๆ เด็กจิ๋วก็ไม่ยอม
หันมา
ที่ติดใจจนต้องมา Palio อีก จริงๆคือของกิน มี ๒ ร้านที่ชื่นชอบกัน ร้านแรกคือ Fly me to
the moon เป็นร้านขายพวกเฟรนช์ฟราย หอมทอด ชีสทอด แล้วมีราด dip เป็นพวกซอสเนื้อราด
มาด้วย ร้านนี้อี๊ป้อมเป็นคนบุกเบิกกินเป็นคนแรก แต่วันนี้ร้านปิดเนื่องจากทาสีประตูอยู่
ส่วนอีกร้านเป็นร้านพายที่อร่อยที่สุดในโลก วันนี้ของหมดมีแต่พายเนื้อ ปะป๊าลองแล้วอร่อยที่สุด
ในโลกจริงๆ พายเนื้อหอมใหญ่ เสิร์ฟพร้อมกับเกรวี่เนื้อและสลัดผักแบบญี่ปุ่น คุณแม่ไม่ยอม
อยากกินพายไก่บ้าง คนขายบอกว่ากำลังเดินทางมาจากกรุงเทพฯ พวกเราเลยไปเดินเล่นกันก่อน
ไปถ่ายรูปที่ร้านเทียนกัน ไม่ได้เป็นคนชอบเทียน แต่มันมีสีสันสวยดี ระหว่างปะป๊ากำกับภาพยนต์
ให้คุณแม่ขยับตัวไปมา เด็กจิ๋วก็ไปคว้าเทียนก้อนโตหล่นลงพื้น...บุบ...คุณแม่เลยต้องซื้อไป เอาไว้
จุดตอนเข้าพรรษาได้
วันนี้คนไม่เยอะอย่างที่คิด ตอนแรกหวั่นๆอยู่ เพราะพรุ่งนี้จะเป็นวันหยุดยาว
เด็กจิ๋วชอบร้านขายของโมบายมาก แบบพวกกุ๊งกิ๊งต่างๆ ที่บ้านเคยมีอยู่อัน แต่เด็กจิ๋วฆ่าตายไปแล้ว
ตอนนั่งรถออกมา คุณแม่สังเกตุเห็นเหงือกล่างเด็กจิ๋วเริ่มมีขาวๆโผล่ออกมาให้เห็นแล้ว ดีใจกัน
ใหญ่เลย สงสัยที่วันนี้เด็กจิ๋วหน้าบึ้งตลอด เป็นเพราะหงุดหงิดฟันขึ้นหรือเปล่า นี่ยังดีนะ เพราะ
ได้ข่าวว่าเด็กคนอื่นจะงอแง แล้วก็บางคนเป็นไข้เลย
ขับรถต่อมาสักเกือบชั่วโมงก็มาถึงที่พัก บ้านคุณนรินทร์ ทางเข้าค่อนข้างลึกแล้วก็ลึกลับด้วย
GPS งงเลย เพราะตำแหน่ง GPS ที่รีสอร์ทให้มา มันอยู่บนเขาซึ่งไม่มีถนนในแผนที่เข้าไปถึง
โชคดีคุณแม่อ่านรีวิวมาแล้ว รู้ว่ามันจะลึกแบบนี้ มีคนเคยมาแล้วโวยวายขับรถออกมา กลัวว่าหลง
เข้าป่า

เข้าบริเวณรีสอร์ทแล้ว หา lobby ไม่เจอ เจอแต่พวกคนสวน ให้เค้าพาเข้าบ้านพักเลย เออ ก็ดีไม่
ต้องมีพิธีการ ว่าแต่เค้ารู้ได้ไงว่าเราเป็นใครพักห้องไหน
บ้านที่ดีที่สุดคือ อมรเบิกฟ้า ซึ่งไม่สามารถจองได้เพราะเต็มยาวเหยีด เราได้หลังถัดมา ชื่อบ้านร่มไม้
ซึ่งทั้งรีสอร์ทมีบ้านแค่ ๓ หลัง อีกหลังคือบ้านพวงแสด
บ้านร่มไม้เป็นหลังใหญ่มี ๔ ห้อง เราพักห้องชั้น ๒ ตรงโถงกลางมีที่นั่งเล่นเห็นวิวกว้างดี
ภายในห้องพักก็สะอาดดีสมราคา เราไม่ได้คาดหวังเรื่องที่พักกันอยู่แล้ว
พาเด็กจิ๋วออกมาเดินเล่นชมวิวกัน
รีสอร์ทนี้คือทั้งเขาเล็กๆลูกหนึ่งเลย ด้านบนยอดเขาเป็นบ้านของเจ้าของ ซึ่งตัวเจ้าของเป็นคน
ดูแลรีสอร์ทเอง ต้นไม้ที่นี่มีต้นแปลกๆไม่เคยเห็นเยอะเลย
ประมาณ ๔ โมงครึ่งก็ขับรถลงเขานิดหนึ่งไปที่ร้านอาหาร เป็นอาคารที่สร้างใหม่ สวยงาม
สไตล์ตามเทรนด์รีสอร์ทแถวนี้ ไม่เหมือนบ้านพักที่สร้างไว้นานแล้ว จะเป็นแบบเชยสุดฤทธิ์
จากที่ดาดฟ้าร้านอาหารจะมองเห็นวิวพระอาทิตย์ตกได้
ด้วยราคาที่พัก ๒,๒๐๐ บาท เราได้อาหารเย็น กับอาหารเช้าฟรีด้วย
อาหารเย็นมาแบบอลังการกันเลยทีเดียว
มีปลากระพงฉ่าน้ำปลา อร่อยกว่าร้านอาหารทั่วไปในกรุงเทพ
ต้มยำทะเล รสชาติโอเคแต่เราชอบหวานกว่านี้
ผัดผักกุ้งสด อร่อยมาก
ยำวุ้นเส้นหมูทะเล เครื่องเต็ม แต่รสจืด อันนี้ไม่ว่ากันเพราะยำมาเป็นชั่วโมงกว่าเราจะได้กินกัน
เพราะป้อนอาหารเด็กจิ๋ว ป้อนนม ถ่ายรุปไปมา กว่าจะเริ่มกิน กว่าจะกินเสร็จก็ ๖ โมงเย็น
กลับเข้าบ้านพักแล้วก็เริ่มนอนกันแต่หัวค่ำเลย เพราะไม่มีอะไรจะทำ หลับกันได้ปั๊บ มีเสียงเอะอะ
โวยวายจากเพื่อนข้างห้อง เป็นครอบครัวใหญ่เข้ามาพัก มีเด็กเล็กมาด้วย เสียงที่ทำลายโสต
ประสาทที่สุดก็คือเสียงรองเท้าปี๊บปี๊บของเด็กน้อย ไม่รู้จะเดินปี๊บๆกันทั้งคืนหรือไง เด็กจิ๋วนอน
หลับแล้วก็มีตื่นอยู่หลายที จนปะป๊าต้องออกไปเจรจาสงบศึกในที่สุด
อากาศเย็นกำลังดีไม่มีแอร์ แต่ก็ห่มผ้าห่มหลับได้สบาย ปกติเด็กจิ๋วจะไม่ยอมห่มผ้าห่มอยู่แล้ว
ปะป๊าเลยเอาผ้าห่มมาคลุมมุ้งให้เด็กจิ๋ว เหมือนสุ่มไก่เลย
ปะป๊าตื่นมาถ่ายรูปตอน ๖ โมงเช้า ส่วนคุณแม่กับเด็กจิ๋วก็ตามเคย ไม่ยอมลุกออกมา
จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ดีที่สุดคือหน้าบ้านอมรเบิกฟ้า ปะป๊าก็เลยไปขอยึดพื้นที่เค้าถ่ายรุป พอดี
เจ้าของห้องได้เจอ ทักทายกันไว้แล้วตั้งแต่เมื่อวาน
ช่วงนี้ไม่มีทะเลหมอก จริงๆถ้าให้สวยต้องเป็นหน้าฝน ก็คิดว่าจะพาที่บริษัทมาดีไม๊ ติดอยู่อย่าง
เดียวคือไม่มีแอร์ ถ้าสิงหาฯนอนแบบไม่แอร์จะเป็นไง?
เด็กจิ๋วน่าจะตื่นเป็นคนสุดท้ายของรีสอร์ทเลยมั้ง ๗.๓๐ ออกมาถ่ายรูปได้นิดหน่อยก็รีบไปกินข้าวเช้ากัน
เสียงปี๊บปี๊บของรองเท้าเด็กน้อยเพื่อนข้างห้อง วันนี้ยังตามหลอกหลอนอยู่ เสียงดังก้องไปทั้ง
ภูเขาเลย ไม่ว่าจะอยู่จุดไหนของรีสอร์ทก็จะได้ยินอย่างชัดเจน
อาหารเช้าที่นี่ให้สั่งได้ไม่อั้น มีพวกเข้าต้มกับชุดไข่ดาวกับเสต็กหมู คือใช้เสต็กหมูแทนเบคอน
ไส้กรอก อร่อยมาก ปะป๊ากินไป ๓ จานด้วยความเกรงใจ ส่วนเด็กจิ๋วก็ได้กินข้าวต้มกับเค้าด้วย
ชอบมากเลย
กินข้าวเสร็จก็ถึงงานหนักที่คุณแม่เกลียดที่สุดคือเก็บของกลับบ้าน ของเด็กจิ๋วเยอะมาก ทั้งเครื่องนอน เครื่องกิน ขนกันเต็มรถ
ออกจากที่พักก็ขับต่อไปเที่ยววังน้ำเขียว แวะเที่ยวไร่องุ่น ที่ Village Farm&Vinery ที่นี่ไม่
ค่อยมีอะไร ไร่องุ่นก็ไม่สวย ที่ Primo สวยกว่าเยอะ

ต่อด้วยสวนปลูกหน้าวัว อันนี้รันทดสุดๆ หน้าวัวที่ปลูกก็มีแต่แบบธรรมดา ไม่มีแบบสวยๆ แล้วก็
ร้อนมาก จำไม่ได้ว่าเคยไปที่ไหน หน้าวัวแปลกๆสวยมาก ไม่รู้ที่เมืองไทยหรือต่างประเทศ
เสร็จแล้วก็แวะสวนกล้วยไม้ อันนี้ก็ไม่เวิร์ค ที่บางบัวทองเยอะกว่า สวยกว่า
อันนี้แวะเที่ยวร้าน a Cup of Love ร้านนี้ก็ไม่ดีอีกเหมือนกัน เครื่องดื่มรสชาติแย่อย่างแรง คน
เยอะ ที่ร้านพยายามทำเป็นที่เที่ยว มีที่พัก ไร่ทานตะวัน เลี้ยงแกะ แต่ดูๆแล้วไม่ดีสักกะอย่าง
ตอนกลับแวะไปหาน้าเอ๋ที่ปากช่อง น้าเอ๋พาไปเลี้ยงข้าวที่ร้านอาหารลึกลับ เป็นร้านสวยงามอยู่
กลางป่า ประมาณเจ้าของรวยมากมาอยู่ชิวๆเปิดร้านชิวๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น