วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557

@Jeju Island ไปดูพอด-กดสีหวานๆ กับยูเชสีสดใส

เมื่อวันหยุดจักรี 5-6-7 เมษาที่ผ่านมา เราไปเที่ยวเกาะเจจู เกาหลีใต้ มากันค่ะ
ที่เราเลือกไปเจจู เพราะรู้มาว่าช่วงต้นเมษา ดอก พอด-กด (หรือที่เรารู้จักกันในนามซากุระ) กำลังบาน รวมทั้งทุ่งดอกยูเซ (rapeseed) สีเหลืองก็กำลังบานด้วยดอกไม้
ทีแรกเราพยายามจะไปเอง โดยไม่พึ่งทัวร์ แต่คำนวณค่าใช้จ่ายออกมาแล้ว ก็ยอมแพ้ทัวร์ราบคาบเลย
ราคาทัวร์ 12900 บาท ช่วงไฮและหยุดยาวแบบนี้ หาได้ที่ไหน เฉพาะค่าตั๋วเครื่องบินอย่างเดียวก็เกือบไม่ได้แล้ว
(บางช่วง ราคาทัวร์ลงมาอยู่ที่ 9900 บาทก็มีค่ะ)
เราเลยต้องยอมไปทัวร์กัน ถึงแม้รู้ว่ามากับทัวร์จะต้องมีเรื่องขัดใจแน่นอน 
ลองตามมาดูกันนะคะว่าเกาะเจจูสวยมั้ย และราคาทัวร์แบบนี้กับรายการทัวร์ 3 วัน 2 คืนจะคุ้มรึเปล่า


ก่อนอื่น ขอระลึกถึงโศกนาฏกรรมเรือเซวอนที่พาหลายร้อยชีวิตจมสู่ทะเลอันหนาวเย็นแห่งนี้ 
เราอินและเสียใจกับเหตุการณ์นี้มากๆ ร่วมเอาใจช่วยให้มีผู้รอดชีวิตบ้าง สุดท้ายก็จบแบบเศร้าจริงๆ
ขออย่าให้มีเหตุการณ์ที่น่าเศร้าอย่างนี้เกิดขึ้นอีกเลยค่ะ _/||\_

มาเริ่มเดินทางกันเลยค่ะ... แค่เริ่มต้นที่สนามบินสุวรรณภูมิก็ตื่นเต้นแล้วค่ะ
เราเดินทางกันด้วย Chartered Flight หรือเครื่องบินเหมาลำ สายการบิน Easter Jet
วันที่ไปเป็นหยุดวันจักรี 3 วัน ถ้าไป Flight นี้เราจะได้ไปเที่ยวโดยไม่ต้องลางานเลย
คนไปเจจูกับทัวร์นี้ วันนี้ 180 คน เต็มเครื่องพอดี เจ้าหน้าที่แจ้งว่าพอไปถึงเจจู เราจะนั่งรถบัสหมายเลข 4
รถทั้งหมดมี 4 คัน ลูกทัวร์ 40 กว่าคนต่อบัส แน่นเต็มเอียดมากๆ 
ตอนเช็คอิน เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเครื่องดีเลย์ จะออกช้าไปกว่าที่กำหนดประมาณ 2 ชั่วโมง (จำเวลาที่แน่นอนไม่ได้แล้วค่ะ)
เราก็เลยลั้ลลากันมาก ไปนั่งเล่นกินขนมที่ King Power Lounge กันใหญ่ 
เผอิญเดินไปเข้าห้องน้ำ เลยได้ยินเค้าประกาศว่า Flight เราเปลี่ยนเวลา กลับมาเป็นออกเวลาเดิม คือเลื่อนมาเร็วขึ้น แถมยังเปลี่ยน gate ด้วย
ก็งงมากๆค่ะ เราไม่เคยเจอเปลี่ยนเวลาเร็วขึ้นอย่างนี้ คิดในใจว่า ถ้าคนไม่ได้ยินประกาศจะทำยังไง 
มาถึงสนามบินเจจูแต่เช้า ท้องฟ้าแจ่มใส ไกด์แจ้งว่าข้างนอก ลมแรงและหนาวมาก ก็เลยงัดเสื้อหนาวในกระเป๋าออกมาเตรียมพร้อมกันเต็มที่
สถานที่แรกที่ไปแวะคือ ไร่ชาโอซูลลอค (O’Sulloc Tea Garden)

เด็กจิ๋วยังง่วงอยู่ และหิวด้วย 
เอ..เราไม่ได้กินข้าวเช้ากันนี่นา อาหารบนเครื่องที่แจก เป็นแค่ snack และไม่อร่อยด้วยอ่า... 
ไร่ชาที่นี่ไม่ค่อยสวย ใบชาสีเข้ม ปลูกบนที่ราบ (ขอบอกว่าไร่ชาฉุยฟงที่เชียงราย สวยกว่าอย่างมากๆๆๆ)
เราไปเดินถ่ายรูปตรงไร่ชากันแว้บเดียว ก็ข้ามถนนกลับมาฝั่งพิพิธภัณฑ์ชา 
ฝั่งนี้มีซากุระหลายต้น เลยช่วง full bloom มาแล้ว มีใบผลิและดอกร่วงเยอะแล้ว 
เด็กจิ๋วมานั่งกินนมกับคุ้กกี้ที่เอามาเองใต้ต้นซากุระร่วงๆ เรียกได้ว่าก็พอจะชิลล์ๆได้บ้าง


เด็กจิ๋วอิ่มแล้ว เราก็เดินมาด้านในที่เป็นร้านชา แม่จะมาหาอะไรหม่ำบ้าง
รายการขนมต่างๆ ที่ทำจากชาเขียวดูน่ากินหลายรายการเลย แต่...แถวยาวมากๆ 
เราเลิกล้มความตั้งใจที่จะลองชิมไปแล้ว แต่โชคดีที่พี่ที่ไปด้วยกันเค้าซื้อมาเผื่อเราด้วย 
ทีแรกไกด์บอกว่าไอติมชาเขียวไม่อร่อย รสชาติเข้มข้นเกินไป 
ที่ไหนได้...ไอติมชาเขียวที่นี่อร่อยมากๆ อ่ะ อร่อยจริงๆนะ คิดแล้วก็อยากกินอีกจัง 
(ตอนหลังขึ้นรถมา ไกด์ถามว่าได้ชิมไอติมมั้ย เป็นไงบ้าง ทั้งรถตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า อร่อยม๊ากกก 555)

อีกอย่างที่อร่อยมากๆ ก็คือชาเขียวลาเต้ แบบอุ่นๆ เสิร์ฟมาในถ้วยดินเผา อร่อยล้ำมากจริงๆ
เราติดใจมาก ซื้อชาเขียวแบบซองกลับมาด้วย แต่เวลาเอามาชงที่บ้าน ไหงมันไม่อร่อยเหมือนกินที่ร้านก็ไม่รู้อ่ะค่ะ

โรลชาเขียวอันนี้ก็อร่อยเหมือนกันค่ะ (อร่อยทุกอย่างจริงๆ หรือหิว เพราะไม่ได้กินข้าวเช้าก็ไม่รู้อ่ะค่ะ)
เห็นครีมเยอะๆ ก็ไม่รู้สึกเลี่ยนนะคะ ครีมเย็นๆ หวานกำลังพอดี กินกับเนื้อเค้กชาเขียว เข้ากันมากๆ
นี่นั่งพิมพ์ไปก็อยากกินอีกอ่ะค่ะ รู้มาว่าที่โซลก็มีร้าน O’Sulloc เหมือนกัน ไม่ต้องไปถึงเจจูก็ได้ 
ถ้ามีโอกาสไปโซล จะไปชิมอีกให้ได้ สัญญาเลย...

ออกจากไร่ชามา ก็มาแวะทานกลางวันกัน ตามรายการทัวร์ แจ้งว่าจะเป็นข้าวยำบิบิมบับ
แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ไกด์บอกว่าเป็นบุฟเฟต์อาหารเจจู 
มีหลายอย่างให้เลือกตักทานเอง แต่แม่เรื่องมาก กินอะไรไม่ค่อยได้เลย ไม่ถูกปากไปซะหมดทุกอย่าง 
เด็กจิ๋วกลับกินได้มากกว่าอีก


อิ่มข้าวกลางวันแล้ว มาต่อกันที่น้ำตกชอนจียอน (Cheonjeyeon Fall)
ไกด์บอกว่าแปลว่าน้ำตกเจ็ดสาวน้อย (มีตำนานเล่าถึงนางไม้เจ็ดคนที่มาเล่นน้ำที่แห่งนี้...ทำไมมาพ้องกับน้ำตกที่เมืองไทยเลย...)
ตรงทางเข้าก็เจอคุณปู่ทอลฮารุบัง ยืนต้อนรับอยู่แล้ว (คุณปู่เป็นใคร ดี๋ยวมีเล่าให้ฟังค่ะ)



บริเวณสวนใกล้น้ำตกชอนจียอน มีต้นพอด-กด (ซากุระ) อยู่เยอะเลยทีเดียว
เราได้เห็นรูปของเพื่อนที่มาเที่ยวก่อนหน้าเราสองสัปดาห์ ตรงนี้ชมพูอร่ามเลย แต่ตอนเรามา ร่วงไปหมดแล้ว


สำหรับตัวน้ำตกเอง เราก็เฉยๆ ไม่มีอะไรเด่น หรือสวยมากนัก แต่ต้นไม้ในสวนรอบๆ ก็สวยดี และอากาศดีด้วย




มาทำความรู้จักกับคุณปู่ทอลฮารุบังกันดีกว่าค่ะ
รูปปั้นแกะสลักจากหินลาวาเป็นรูปคนแก่ใจดีเหล่านี้มีชื่อว่า ทอลฮารุบัง หรือหินปู่ 
ชาวเกาะเจจูเชื่อว่าเป็นสิ่งที่พิทักษ์ปกป้องคุ้มครองชาวเกาะค่ะ
เราเที่ยวเจจูสามวัน พบเห็นคุณปู่อยู่ทั่วไป เราซื้อของที่ระลึกหินปู่กลับมาตั้งที่บ้านด้วยค่ะ

เดินออกมาจากน้ำตกชอนจียอน จะมีร้านขายของกินมากมาย แต่ละร้านจะขายของคล้ายๆกัน
ส่วนใหญ่เป็นของทะเล เช่นปลา และปลาหมึกอบแห้งแบบต่างๆ ปลาหมึกปิ้ง 
และมีหนอนเดือดปุดๆ อยู่ในกระทะด้วย ไม่กล้าชืมนะคะ เราซื้อแต่ปลาหมึกอบแห้งมาแทะเล่นในรถ อร่อยดีค่ะ


จุดหมายต่อไปคือวัดยักชอนซา (Yakcheonsa Temple) เป็นวัดพุทธเพียงไม่กี่แห่งที่นี่
ตัววัดหน้าตาแบบวัดเล่งเน่ยยี่ 2 แถวนนทบุรีบ้านเราเลย ข้างใน การตกแต่งต่างๆ ก็คล้ายกันมากๆค่ะ


มีคนมาถวายข้าวสารด้วย เอาข้าวเทินบนหัวแบบนี้ค่ะ

ทางเดินเข้าวัด ประดับโคมสวยงาม

รอบๆวัดปลูกส้มไว้มากมาย ส้มลูกโตมาก ดูน่ากิน แต่ไกด์บอกว่ามันไม่อร่อย เพราะว่ามันเปรี้ยวมากๆ

นอกจากส้มแล้ว รอบๆวัดยังมีพอด-กด บานอยู่เยอะเลยค่ะ เดินเล่นถ่ายรูปเพลินๆรอบวัดกันค่ะ




รีวิวนี้เราจะเรียกดอกนี้ว่าพอด-กด กันนะคะ เพราะเราไปเกาหลี 
คนเกาหลีเค้าไม่เรียกต้นนี้ว่าซากุระเด็ดขาด เค้าเรียกว่า"พอด-กด"
และถ้าเป็นคนสูงอายุเกาหลี จะโกรธมาก ถ้ามีคนไปเรียกว่าซากุระค่ะ
เกาหลีกับญี่ปุ่นเค้ามีเรื่องขัดแย้งกันมาช้านาน และคนเฒ่าคนแก่ส่วนใหญ่จะยังฝังใจอยู่กับเรื่องเก่าๆค่ะ
(ข้อมูลจากไกด์นะคะ)



ไกด์เล่าว่าตอนนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า ต้นพอด-กด หรือซากุระ แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดที่เกาหลี หรือญี่ปุ่นกันแน่
เกาหลีบอกว่า original จากเกาหลีเลย ต้นแบบนี้ แต่ญี่ปุ่นมาเอาไปตอนเข้ามายึดเกาหลี
ส่วนญี่ปุ่นบอกว่า original มาจากญี่ปุ่นเลย เค้าเอาเข้ามาปลูกในเกาหลี ตอนมายึดเกาหลีไง



ก็งงๆ นะคะ ความจริงต้นไม้แบบนี้ ก็น่าจะมีในทั้งสองประเทศแต่แรกรึเปล่า
เพราะทั้งสองประเทศก็ภูมิอากาศคล้ายๆกัน อยู่ในโซนเดียวกัน
อย่างที่เมืองจีน ก็มีต้นแบบนี้บานสะพรั่งให้เห็นช่วงฤดูใบไม้ผลิเหมือนกัน



ออกจากวัด มาต่อกันที่จูซังจอลลี (Jusangjeolli) กันค่ะ
จูซังจอลลีเป็นแหลมหินรูปรวงผึ้ง ที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ แล้วลาวาไหลมาริมทะเล กระทบกับน้ำทะเลที่เย็นเฉียบ
ทำให้เกิดปรากฎการณ์ธรรมชาติแปลกตาแบบนี้ 
หน้าตาจะเหมือนแท่งหินรูปหกเหลี่ยม ซ้อนกันเหมือนรวงผึ้งเลยค่ะ 
ลอง search ดูใน google ก็เหนว่าชายหาดที่มีหินหกเหลี่ยมแบบนี้ มีหลายที่เหมือนกัน เช่นที่ไอร์แลนด์ สก๊อตแลนด์ หรือไอซ์แลนด์ มหัศจรรย์ธรรมชาติจริงๆ 
(ณ จุดนี้ลมแรงสุดๆเลยค่ะ)




แถวๆแหลมหินจูซังจอลลี จะมีคุณป้าชาวเจจูมาขายอาหารทะเลสดๆค่ะ
ที่เจจูนี้ สิ่งที่โด่งดังอีกอย่างคือ เฮนยอ หรือนักดำน้ำหญิงแห่งเจจู 
นักดำน้ำหญิงเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงรุ่นคุณป้าแบบนี้ และการที่คุณป้าเหล่านี้จะดำน้ำลงไปหาของทะเล จะไม่มีการใส่ถังออกซิเจนนะคะ กลั้นหายใจ ดำกันสดๆเลย ต้องแข็งแรงและแข็งแกร่งมากจริงๆ น้ำทะเลที่นี่ท่าจะหนาวเย็นน่าดูด้วย
อย่างที่คุณป้าคนนี้นำมาขาย ของเด็ดก็คือเป๋าฮื้อสดๆค่ะ เราไม่ได้ชิมนะคะ แต่มีพี่ในทัวร์เดียวกันเค้าลอง ก็เลยขอถ่ายรูปมาค่ะ

ของเด็ดของเจจูอีกอย่างคือส้มค่ะ เราชิมแล้ว ส้มเจจูอร่อยมาก เด็กจิ๋วชอบกินมากๆค่ะ
ส้มแบบที่มีหัวจุกจะเป็นส้มที่ดีที่สุด ซึ่งราคาก็แพงตามไปด้วย ชื่อว่าพันธุ์ฮัลลาบง อันนี้ไม่ได้ซื้อชิมนะคะ
เราลองชิมแต่พันธุ์ลูกเล็กจิ๋ว ที่กินได้ทั้งเปลือก และลูกกลมๆธรรมดา อร่อยมากค่ะ รสชาติจัดจ้าน หวานนำเปรี้ยว อร่อยจริงๆ

ที่เที่ยวของวันนี้ยังไม่หมดค่ะ ไกด์พาเรามาที่ Teddy Bear Museum
ไกด์เล่าว่าชาวเกาหลี เค้าเชื่อกันว่าหมีเป็นต้นกำเนิดของมนุษย์ ฉะนั้นบรรพบุรุษของคนก็คือหมีค่ะ 
มีตำนานเล่ามาให้ฟังยาวๆด้วยค่ะ แต่ลืมแล้วอ่ะค่ะ ฟังๆหลับๆ


เด็กจิ๋วชอบที่นี่เลย มีตุ๊กตาให้ดูเยอะแยะ





มื้อเย็นวันแรกเป็นหม้อไฟซีฟู้ดค่ะ
ทีแรกนึกว่าเด็กจะกินไม่ได้ ปรากฎว่ากินข้าวกับหนวดหมึกต้มได้เยอะเลยค่ะ


ผักดอง เครื่องเคียงของทุกมื้อ อร่อยทุกมื้อค่ะ 
ถ้วยขวาบนเป็นปลาหมึกเส้นกิมจิ อร่อยมากๆค่ะ พยายามจะหาซื้อกันกลับมา แต่ไม่รู้ซื้อที่ไหนค่ะ ไกด์เองก็ไม่รู้เหมือนกัน

ในที่สุดก็ได้เข้าห้องพักแล้วค่ะ
โรงแรมใช้ได้ค่ะ อยู่สบายและสะอาด แต่ไกลจากตัวเมืองเจจูพอสมควร คาดว่าโรงแรมฝั่งนี้ (ซกวิโพ) น่าจะราคาถูกกว่าฝั่งเมืองเจจู


เช้าวันต่อมาเราจะไปขึ้นยอดภูเขาไปซองซาลอิลซุงโบกันค่ะ (Seongsan Ilchulbong)
เห็นท้องฟ้าแจ่มใส ฟ้าใสไร้เมฆแบบนี้ อากาศหนาวสุดๆเลยค่ะ 
เด็กจิ๋วค่อนข้างงอแงมาก เพราะว่าหนาว บ่นว่าหนาวๆตลอด อยากจะกลับไปรอในรถท่าเดียวเลย 

แต่มาถึง Highlight ของทริปแล้ว ยังไงก็ต้องพากันขึ้นไปจนถึงยอดเขาให้ได้ค่ะ
ปะป๊ากับแม่ก็ต้องผลัดกันอุ้มขึ้น บางช่วงมีหลอกล่อให้เดินเองได้บ้าง แต่ก็น้อยมากๆ
ทางเดินขึ้นก็สบายๆค่ะ บางช่วงก็เป็นบันไดอย่างดี เดินสบายๆ ง่ายๆ แต่สูงเหมือนกัน และเหนื่อยมากๆค่ะ


หยุดถ่ายรูปเป็นระยะๆ พักเหนื่อยไปในตัวด้วย 

มองกลับลงมา วิวสวยดี 




ในที่สุดก็มาถึงยอดปากปล่องภูเขาไฟแล้ว 
วิวตรงปากปล่องก็เหมือนสนามหญ้าริมทะเล หน้าตาธรรมดา คือมองจากมุมมองนี้จะเฉยๆ 
แต่ถ้ามองจากภาพถ่ายทางอากาศ ตรงนี้สวยมากๆค่ะ




มองจากยอดเขากลับลงไปด้านล่าง


อยู่บนนี้กันแป๊บเดียวก็เดินลงแล้วค่ะ ได้เวลารวมพลที่ไกด์กำหนดไว้
ทางเดินลงเป็นบันไดแบบนี้ ลงง่ายๆเลยค่ะ



ถ้าใครไม่อยากเดินขึ้นยอดเขา ก็สามารถเลือกมาเดินเส้นทางชิลล์ริมทะเลตรงนี้ได้ค่ะ


สถานที่ต่อมาที่มาแวะ ก็คือซอพจีโคจี (Seopjikoji) 
เป็นเนินหญ้ากว้าง ติดทะเล มีโบสถ์หลังน้อย และประภาคาร แถมยังมีทุ่งดอกเหลืองขึ้นอยู่ด้วย
โลเกชั่นสวยๆ แบบนี้ เลยทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายทำ series เกาหลีหลายๆเรื่อง
แต่ไกด์ให้เวลาเรากับที่นี่น้อยมากๆ คือดูเวลาที่ให้ กับระยะทางที่ต้องเดินไป ไม่พอแน่ๆ 
ไกด์บอกว่า แนะนำว่าไม่ต้องเดินไปจนสุดก็ได้ค่ะ แค่เดินไปนิดนึงพอเห็นตัวโบสถ์ ถ่ายรูปจุดนั้นสวยสุดแล้ว 
ลูกทัวร์ก็เชื่อนะคะ เดินแวะชิมปลาหมึกย่างนิดหน่อย แล้วก็เดินไปถ่ายรูปนิดนึงตามไกด์บอก
แต่เรารู้มาว่าที่นี่มีทุ่งดอกยูเชขึ้นอยู่ พยายามถามไกด์ว่าตรงนั้นไม่เป็น highlight เหรอคะ น้องไม่ให้พี่ไป พี่จะพลาดไรมั้ยคะ 
น้องไกด์บอกว่า ตรงนั้นไม่สวยหรอกค่ะ ทุ่งเล็กๆ เดี๋ยวมีพาไปทุ่งใหญ่อลังการเลยค่ะ โอเคค่ะ พี่เชื่อค่ะ
(แต่แล้ว...จนจบทริป ไม่เห็นมีทุ่งดอกเหลืองริมทะเล สวยๆให้แวะอีกเลย มีแต่ทุ่งใหญ่ๆ ข้างร้านขายโสมของรัฐบาล ที่ต้องพยายามหนีออกมาถ่ายเอาเอง) 
โชคยังดีที่ปะป๊าไม่ยอมเชื่อ ขอวิ่งไปถ่ายให้ทั่วๆดีกว่า แล้วตอนหลังปะป๊ามาบอกว่าชอบที่ซอพจีโคจีมากที่สุดในทริปเลย!! 
พลาดเลย...เสียใจ...เคืองไกด์ 




ลงรูปที่นี่เยอะๆเลย ประชดชีวิต ที่ไม่ได้เดินไป 





อันนี้เหรอ ที่ไกด์บอกไม่ค่อยสวย




กลางวันเป็นหมูดำบูลโกกิ รสชาติไม่ถูกปากแม่อีกแล้ว 
มื้อนี้เผ็ด พริมกินไม่ได้ เลยแบ่งข้าวผัดเจกับพี่ที่ไปด้วยมาหม่ำ รอดไปได้อีกมื้อ



กินข้าวกลางวันเสร็จ ก็ไปหมู่บ้านวัฒนธรรมซองอึ๊บ
มีความรู้สึกว่าอยู่ที่นี่นานมากๆ นานเกินไปจริงๆ 
ที่นี่ก็น่าจะเป็นเหมือนร้านรัฐบาลที่เน้นขายของ แต่ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย เลยทำให้ต้องอยู่นานมากๆ
ของที่ขายที่นี่ก็คือ น้ำเบอร์รี่หมักกับน้ำผึ้ง หรือเรียกว่า โอมีจา เราชิมแล้ว ไม่ชอบเลย เลยไม่ซื้อ แต่หลายคนในทัวร์ชอบก็ซื้อมา 
อีกอย่างที่มีขายคือกระดูกม้า กินบำรุงร่างกาย ไม่ไหวนะ กินกระดูกม้า สำหรับเราแรงไป...รับไม่ได้อ่า... 



จบจากหมู่บ้านวัฒนธรรมซองอึบ ก็เข้าร้านรัฐบาลอีก น่าจะเป็นศูนย์โสม
ใกล้ๆกับศูนย์โสม จะมีทุ่งดอกยูเซ ทุ่งใหญ่มากๆอยู่ และมีต้นพอด-กดเรียงรายรอบๆทุ่งด้วย 
จุดนี้สวยมากๆเลย เราเล็งไว้ว่าน่ามาถ่ายรูปมากๆ เดาว่าเดี๋ยวจบจากโสม ไกด์น่าจะให้เวลามาถ่ายรูปตรงนี่ซักหน่อย
แต่เปล่าเลยค่ะ เราต้องแว่บกันออกมาถ่ายเอง เห็นบัสอื่นเค้าวิ่งไปถ่าย เลยตามไปบ้าง ซึ่งก็โดนเร่งแล้วเร่งอีก 
ก็ต้องทำใจอ่ะค่ะ มาทัวร์ราคาถูก ต้องเข้าร้านรัฐบาลเป็นหลัก 
ไกด์พยายามอธิบายว่าที่เราได้ราคาทัวร์ถูก ก็เพราะได้รับการ support จากร้านรัฐบาลเหล่านี้
ฉะนั้นเราต้องเข้าร้านทุกร้าน ไม่เข้าไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าเป็นแค่ขู่หรือเรื่องจริง
ปะป๊าก็เข้าทุกร้านแหละ แต่แวบออกมาถ่ายรูปแค่นั้นเอง ส่วนแม่ฟังบรรยายทุกร้านเลย แต่ไม่ซื้ออะไรเลย 



ดอกยูเชกำลังบานสะพรั่ง เหลืองอร่ามเลย แต่ซากุระเริ่มร่วงไปเยอะแล้วค่ะ









มื้อเย็นเรากินหมูดำกันอีกแล้ว แต่คราวนี้เป็นหมูย่าง เข้าไปเห็นแล้วอึ้งนิดๆอ่ะ ไม่เป็นอย่างที่คิดเลย
หมูจะใหญ่ไปไหนอ่ะ แล้วไม่มีหมักซอสเกาหลีอะไรหน่อยเลยเหรอ... 
คือความที่ชิ้นหนา ใหญ่ ย่างคงจะนานกว่าจะสุก ทางร้านเลยทำสุกมาให้แล้ว ซึ่งน่าจะต้มมา เราก็เอามาย่างๆ ให้มันแห้งๆ
สรุปว่าเราไม่ชอบเลย ไม่ถูกปากอีกแล้ว กินข้าวกับผักดองอร่อยกว่า





วันสุดท้ายเน้นเข้าร้านรัฐบาลและช้อปปิ้งเป็นหลักค่ะ
ตัดมาที่อาหารกลางวันเลย มื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในทริปนี้แล้วค่ะ 
เป็นไก่ตุ๋นโสม ซึ่งไกด์พยายามอธิบายว่ามันไม่เหมือนไก่ตุ๋นโสมที่โซล ซึ่งขึ้นชื่อว่ามันไม่อร่อย
แต่หลายคนที่เคยไปกินที่โซล ก็ยังไม่เชื่อ ขอไม่กินและขอเป็นมาม่าเกาหลีแทนกันเลยทีเดียว
แต่คราวนี้เชื่อไกด์ได้นะคะ เพราะชามนี้อร่อยจริงๆ พี่ที่ไปด้วยกันบอกว่ารสชาติไม่เหมือนที่โซลเลย
น้ำซุปหอมอร่อยมาก เนื้อไก่ตุ๋นจนเปื่อย กินกับเส้นอุด้งอร่อยมาก 

เรารีบๆกินให้เสร็จเร็วๆ เพราะมีจุดหมายอีกอย่างนอกโปรแกรมทัวร์ ก็คือการไปถ่ายรูปกับแนวต้นพอด-กด ตรงถนนหน้าร้านไก่ตุ๋นโสม
เราได้เห็นรูปจากเพื่อนที่มาก่อนหน้าเราว่าตรงนี้สวยมากๆ ตั้งใจไว้ว่าจะต้องมาถ่ายรูปให้ได้
ช่วงที่เราไป ดอกร่วงลงไปเยอะแล้ว ตอนที่กำลังบานเต็มที่ ฟู ขาว แน่น สวยมากๆ
แต่ถึงจะไม่ค่อยแน่น แต่ก็สวยดี ลมพัดมาแล้วกลีบร่วงๆ ปลิวๆ ได้บรรยากาศไปอีกแบบ 






เนื่องจากตรงนี้เป็นถนน การจะออกมาถ่ายรูปต้องระวังรถกันมากๆ นะคะ
ดีที่ว่าตรงนี้รถไม่เยอะ และคนขับรถเส้นนี้ใจดีมากๆ เราเห็นมีคนวิ่งลงมาถ่ายตอนรถมา รถก็จอดหยุดให้ถ่ายรูปด้วย







คนที่มาเดินๆถ่ายรูป ส่วนใหญ่ก็เป็นนักท่องเที่ยวที่เพิ่งกินไก่ตุ๋นโสมเสร็จ เหมือนเราอ่ะค่ะ




นึกแล้วก็แปลกใจกับเจ้าหน้าที่ทัวร์ที่กรุงเทพจริงๆ ก่อนเราจะจองทัวร์ ก็ศึกษามาแล้วว่าที่เจจูจะมีพอด-กดบานช่วงต้นเมษา
พอตอนจองทัวร์ บอกเค้าไปว่าอยากดูซากุระบาน เค้าขำเราใหญ่ บอกว่าที่เจจูไม่มีนะคะ ถ้าจะดูต้องไปโซล... 
แล้วนี่อัลไล...เป็นคนขาย ถึงไม่เคยมาน่าจะมีข้อมูลบ้างก็ดีนะ เฮ้อ...



วันสุดท้าย เราได้กลับมาที่ทุ่งเหลืองข้างร้านโสมของรัฐบาลอีก 
แต่เปล่านะคะ ไกด์ไม่ได้จะพาเรามาถ่ายรูป เผอิญว่าร้านขนมที่พามาซื้อ อยู่ข้างๆทุ่งนี้เหมือนกัน
ซื้อขนมเสร็จก็เลยวิ่งหนีมาถ่ายรูปกันอีกรอบ 
ความจริงไกด์คงเบื่อลูกทัวร์พวกนี้เหมือนกัน วิ่งหนีไปถ่ายรูปตลอด ต้องตามเก็บกันตลอดๆ 




ลองนึกว่าถ้ามาเร็วกว่านี้นิดนึง พอด-กดกำลังขาวๆ ฟูๆ คู่กับทุ่งเหลือง คงสวยมากๆ



 ตรงทุ่งนี้เป็นทุ่งยูเชที่ใหญ่ที่สุดที่เจอในทริปนี้แล้วค่ะ




สรุปนะคะ เกาะเจจูฤดูใบไม่ผลินี่สวยงามจริงๆค่ะ พอด-กดบานทั่วทั้งเกาะ แถมยังมียูเซสีสันสดใสด้วย ดอกไม้
สำหรับคนที่จะไปเที่ยวเอง คิดว่าคงฟินกว่าเรามากๆ เพราะน่าจะได้ใช้เวลากับตรงที่ชอบได้อย่างเต็มที่
ตอนที่นั่งรถจากสนามบินเข้าเมือง เราเห็นมีแนวต้นพอด-กดที่กำลัง full bloom อยู่หลายจุด แต่ก็ไม่ได้แวะ
เสียดายมาก ถ้าไปเองคงไม่พลาดแน่ๆ

เด็กจิ๋วต้องบ้าย บายไปก่อนนะคะ 
เจอกันใหม่รีวิวหน้า ขอบคุณที่ไปเที่ยวเป็นเพื่อนกันค่ะ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น