วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

@Australis ตอน 2 Discover amazing Tasmania

หลังจากตอนที่แล้ว เด็กจิ๋วพาเที่ยวเมืองใหญ่อย่าง Sydney และ Melbourne ไปแล้ว
ตอนนี้จะเป็นธรรมชาติล้วนๆ เราจะไปท่องเที่ยวเกาะรูปหัวใจ ใต้สุดของออสเตรเลียกัน เกาะ Tasmania นั่นเองค่ะ
1 มกราคม 2557
เรามาถึง Hobart เมืองหลวงของรัฐ Tasmania กันแต่เช้าตรู่พร้อมกับเมฆฝน และสายฝนที่โปรยปราย
ก่อนจะมาก็ดูพยากรณ์แล้วว่าตลอดทริปที่เราอยู่ Australia ฝนจะตกสองวัน คือวันที่เราอยู่ Tasmania ทั้งสองวัน ไม่มีอะไรเศร้าไปกว่านี้แล้ว
ตอนมาถึงก็เป๊ะเลย จากฟ้าใสๆที่ Melbourne มาที่นี่มืดมิดมาก
เราวิ่งฝ่าสายฝนไปรับรถเช่าของ Thrifty ที่อาคารติดกันกับอาคารผู้โดยสารขาเข้า
จุดหมายแรกของวันนี้คือ Mt. Wellington ถึงแม้อากาศจะเป็นยังงี้ก็ไม่ย่อท้อ มุ่งหน้าต่อไป มาถึงนี่แล้วนี่นา 
Mt. Wellington เป็นจุดชมวิวที่สวยงามแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากเมือง Hobart มากนัก เราขับรถมาประมาณ 40 นาทีก็ถึง
ตรงนี้เป็น Mt. Wellington Observatory เป็นอาคารชมวิวแบบ indoor ค่ะ
ตอนที่ขับรถมา Mt. Wellington ทัศนียภาพการไต่เขาขึ้นมามันช่างเหมือนกับเมืองไทยยังไงไม่รู้ค่ะ ทั้งถนนหนทางและต้นไม้ 
แต่ยิ่งขับสูงขึ้นมามากเท่าไหร่ ทัศนียภาพก็แปลกตามากขึ้น มีต้นไม้หน้าตาแปลกๆเต็มไปหมดเลย
ที่สำคัญคือลมแรงมากๆ ลมแรงที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย
พอเปิดประตูรถออก นี่ตกใจมากเลย เพราะลมกระชากประตูรถออกไปเต็มแรง ที่สำคัญอีกอย่างคือ มันหนาวมาก 
หนาวฝนเพราะมีฝนปรอยๆตลอด และหนาวลมอย่างมาก ไม่รู้อุณหภูมิตอนนั้นเท่าไหร่ 
ได้แต่หันมามองหน้ากันแล้วถามกันว่า เอ่อ..นี่หน้าร้อนของที่นี่แล้วเหรอ
พวกเราผลัดกันลงไปถ่ายรูป แล้วผลัดกันมาอยู่เป็นเพื่อนเด็กจิ๋วในรถ
เพราะว่าเด็กจิ๋วไม่ได้ลงจากรถเลย ฝนปรอยๆ และหนาวมากขนาดนั้น เลยให้นั่งรอในรถ 
ซึ่งเด็กจิ๋วก็เต็มใจอย่างมาก เพราะหนาว แค่มีคนเปิดประตูรถ เด็กก็โวยวายแล้วว่าหนาวมาก
เวลาที่จะวิ่งออกไปถ่ายรูป (คือต้องวิ่งไปค่ะ เดินไม่ได้ ลมมันแรงและหนาวมาก) ต้องตั้งหลัก จับกล้องให้มั่น แล้ววิ่งไปถ่ายๆๆๆ แล้วรีบวิ่งกลับรถค่ะ ลมแรงมากจริงๆ บางวูบที่พัดมานี่รถสั่นเลย
ตอนนี้เลยรู้ละว่าที่เค้าทำจุดชมวิวแบบ indoor เพราะอะไร
ทาง Mt. Wellington Observatory เค้าทำทางเดินไม้อย่างดี ให้เดินลงไปชมวิวพานอรามาของเมือง Hobart ด้วย
ซึ่งขนาดว่าฟ้าปิดๆแบบนี้ เราก็ยังว่าสวยเลย ถ้าฟ้าเปิด มองได้ไกลๆ คงสวยงามกว่านี้มากค่ะ
เราอยู่สู้กับลมหนาวบน Mt.Wellington กันราวๆ 1 ชั่วโมงก็กลับลงมาค่ะ
แค่ที่แรกก็ประทับใจแล้ว Tasmania 
จุดหมายต่อไปเราอีกไกลมาก ขับกันยาวๆเลย คืนนี้เราจะไปนอนที่ Cradle Mountain กันค่ะ
จาก Mt. Wellington ไป Cradle Mountain ระยะทางร่วม 400 กิโลเมตร ไกลมากพอสมควร
เราขับกันเรื่อยๆ ตรงไหนวิวสวยก็แวะถ่ายรูปกันตลอด ส่วนฝนก็เจอกันตลอด ตกๆ หยุดๆ ตลอดทาง
จะว่าไปแล้ว วิวข้างทางที่ Australia โดยรวมนี่สู้ New Zealand ไม่ค่อยได้ค่ะ 
แต่อันนี้ที่ Tasmania ยังพอเจออะไรสวยๆงามๆบ้าง พอสูสีค่ะ ยิ่งช่วงนี้มีดอกไม้บานเยอะ ก็แวะลงถ่ายรูปกันตลอดๆค่ะ
ยกเว้นเด็กจิ๋วที่หลับได้ตลอดเส้นทาง ดอกไม้สวยแค่ไหน วิวงามแค่ไหนไม่สน ขอนอนอย่างเดียวเลย
ทุ่งดอกฝิ่น (Opium Poppy) ข้างทางค่ะ มีเยอะมากจริงๆ สุดลูกหูลูกตาเลย
ทีแรกไม่รู้ว่าเป็นดอกฝิ่นค่ะ คิดว่าเป็นดอก Poppy ทั่วๆไป แต่พอเข้าไปใกล้ๆ เห็นว่ามันเหมือนดอกฝิ่นมาก
กลับมา Google ดูค่ะ เลยรู้ว่าเป็นดอกฝิ่นจริงๆ ที่ Tasmania เป็นแหล่งปลูกฝิ่นสำหรับอุตสาหกรรมยาที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยค่ะ


มีเยอะมากมาย เห็นได้ตลอดทางเลยค่ะ แต่ละทุ่งก็กว้างใหญ่มาก 
แต่ที่เห็นก็จะมีสีเดียวนะคะ คือสีขาวๆ อมชมพูอ่อนๆค่ะ สีแดงๆแบบทางเหนือบ้านเรา ไม่เห็นเลยค่ะ

กว่าจะมาถึงที่พักคืนนี้ก็ใกล้หกโมงเย็นแล้วค่ะ ฝนก็โปรยปรายตลอดเลย 
คืนนี้เราพักที่ Discover Holiday Parks, Cradle Mountain ค่ะ คิดว่าที่นี่เป็นที่พักที่ถูกสุดในละแวกนั้นนะคะ
ก่อนไป เราตั้งใจจะนอนที่ Cradle Mountain เลยเนื่องจากว่าอยากไปถ่ายทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่ Dove Lake
(แต่พอไปถึงฟ้าไม่เป็นใจ ไม่ได้เห็นทั้งขึ้นและตกค่ะ)
ที่พักใกล้ทางเข้าอุทยานแห่งชาติ Cradle Mountain นี่ก็มีแต่หรูหรา ไฮโซ ราคาแรงมากๆแบบสู้ไม่ไหว
ที่ราคาย่อมเยา อย่างของอุทยานฯ เองก็เต็มหมด หรือที่ Holiday Parks นี้ก็เหลือแต่ Cabin รวมที่ไม่มีห้องน้ำ
ก็จำใจจองไปเพราะไม่งั้นก็ไม่มีแล้ว แต่แม่ก็ไม่ละความพยายาม เข้าไปกดดูใน web อยู่เป็นระยะๆ เผื่อว่าจะมีว่าง หรือมีใครยกเลิก 
แล้วก็โชคดีที่มีคนยกเลิก Cabin ที่เป็นสองห้องนอน และมีห้องน้ำในตัวห้องนี้ เราเลยได้มาอย่างหวุดหวิดเลยค่ะ
จอดรถหน้า Cabin เลย หลังนี้ราคาประมาณ AUD 200 ต่อคืนค่ะ เป็นแบบนอนได้ 6 คน 
เปิดประตูเข้ามาเจอตรงนี้ก่อนเลยค่ะ มีครัวเล็กๆพร้อมอุปกรณ์เสร็จสรรพ์ ดีเลิศมากค่ะ
เด็กจิ๋วนอนห้องนี้กับป๊าแม่
อีกห้องเพื่อนแม่นอน เป็นเตียงสองชั้นค่ะ
พอเข้าที่พัก เอาของลงเรียบร้อย ปะป๊าก็ขอไปสำรวจบริเวณอุทยานฯก่อน เพราะถึงแม้จะทุ่มนึงแล้ว ฟ้าก็ยังไม่มืด
ปะป๊าขับรถไปจากที่พักเรา ไปปากทางเข้าอุทยานฯ ประมาณ 5 นาที ไปเดิน Trail เล็กๆ บริเวณด้านหน้าอุทยาน
ส่วนคนอื่นๆ รวมทั้งแม่และเด็กจิ๋ว กินข้าว อาบน้ำ รอที่ห้องอุ่นๆ ละกันนะ
Trail แรกคือ Enchanted Walk
อันนี้เดินง่ายสุด อยู่ปากทางเข้าอุทยานฯ เลยค่ะ
มีทางเดินไม้ปูให้อย่างดี ไม่ต้องกลัวหลงค่ะ เข้าไปก็จะเจอกับต้นไม้แปลกๆ เหล่านี้ค่ะ








น้ำตกนี้อยู่ตรงปากทางเข้าอุทยานฯ ตรงจุดเริ่มต้น Enchanted Walk เลยค่ะ
อีกเส้นที่เป็น Trail สั้น เดินง่ายๆ คือ Visitor Centre Rainforest Walk ทางเข้าจะอยู่ด้านหลัง Visitor Centre เลย
ตรงนี้ก็เช่นกัน จะมีทางเดินไม้วนรอบ เดินๆไป จะเจอ Pencil Pine Fall อันนี้
ปะป๊าเล่าว่าตอนเดินๆ อยู่ ซึ่งก็เป็นเวลาโผล้เผล้แล้ว อยู่ดีๆก็มีจิงโจ้ (หรือวัลลาบีก็ไม่รู้ ไม่สามารถแยกออกได้) กระโดดออกมาป๊ะหน้ากัน ปะป๊าก็ตกใจ จิงโจ้ก็ตกใจ วิ่งหนีไปเลย เลยไม่ทันได้ถ่ายรูปกัน
2 มกราคม 2557
ปะป๊ากับแม่ตื่นกันมาตั้งแต่เช้ามืด ความหวังที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเป็น 0 
เพราะฝนตกตลอดทั้งคืน มาจนเช้ามืดก็ไม่หยุด นอกจากฝนแล้วยังมีลมที่แรงมากๆ อีก
แต่ยังไงเรามาแล้วนี่นะ อุตสาห์ตั้งใจจะมาดู Dove Lake ไกลถึงที่นี่ ฝนตกก็จะไปล่ะ
เราฝากเด็กจิ๋วไว้กับเพื่อนแม่ แล้วปะป๊ากับแม่ก็ขับรถเข้าบริเวณอุทยานฯกันไปสองคน
มาถึงแล้ว Dove Lake สภาพเป็นอย่างที่เห็น 
มาถึงแล้วก็นั่งเศร้ากันอยู่ในรถ 
อย่าว่าแต่จะไปเดิน trail รอบๆ Dove Lake เลย แค่ลงไปถ่ายรูปตรงหน้ารถนี่ยังไม่ค่อยจะไหวเลย 
เพระอากาศหนาวมากๆ ลมแรงมากๆ และฝนตกอีกต่างหาก
แต่แม่ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่าวิวแบบนี้มันก็สวยไปอีกอย่างเนอะ 
แบบ Lake คู่กับภูเขาเป็นฉากหลัง เห็นเยอะแล้ว ใครๆ ก็ถ่ายกัน แบบหมอกๆ เมฆฝนๆ แบบนี้ไม่เคยเห็นเลย 
ปะป๊าได้ยินก็มองหน้า แล้วถามว่า หรา...

ทัศนียภาพในบริเวณอุทยานฯ นับว่าสวยงามแปลกตามากทีเดียว
เราถ่ายรูปที่ Dove Lake แป๊บเดียวก็ขับย้อนกลับออกมา
เห็นวิวข้างทางสวยงาม ก็แวะเก็บภาพกันซักหน่อย

ที่นี่อากาศเปลี่ยนเร็วมากๆ เดี๋ยวฝนตกเดี๋ยวฝนหยุด เดี๋ยวฟ้าดำ เดี๋ยวฟ้าใส เปลี่ยนไปเร็วมาก 
เดาว่าคงเพราะลมที่แรงมากๆ พัดก้อนเมฆให้เปลี่ยนไปเรื่อย

พอยิ่งสายเหมือนฟ้าจะใสขึ้นเรื่อยๆ ปะป๊ากับแม่เลยไปรับเด็กจิ๋ว กับเพื่อนแม่ออกมาเที่ยวในอุทยานฯบ้าง
พอกลับเข้ามาอีกรอบ ฟ้าใสจริงๆด้วย รีบลงรถถ่ายรูปกันใหญ่ 
(ยกเว้นเด็กจิ๋วอีกตามเคยค่ะ เพราะเด็กไม่ยอมตื่นค่ะ)
และหวังไว้ว่าตรง Dove Lake ก็คงจะใสด้วย ลมแรงๆคงพัดเมฆฝนออกไปหมดแล้วละมั้ง






พอขับต่อเข้ามาตรง Dove Lake ก็ต้องผิดหวัง เพราะเมฆฝนก็ยังปกคลุมอยู่เหมือนเดิม แต่ฝนหยุดตกแล้ว
ปะป๊าเลยตัดสินใจจะไปเดิน Trail รอบ Dove Lake กะว่าเดินแค่ครึ่งรอบพอไปถึงกระท่อมเก็บเรือ ตามในรูปที่เราดูมาจาก Web ก็พอ 
ส่วนคนอื่นๆ ก็ถ่ายรูปกันแถวๆนั้น และแม่อยู่กับเด็กจิ๋วที่ยังคงนอนหลับอยู่ในรถ
แต่เดินไปไม่ถึง 5 นาที ปะป๊าก็ต้องวิ่งกลับขึ้นรถแทบไม่ทัน 
เพราะอยู่ดีๆ ฝนก็เทลงมาอย่างแรง ฟ้าดำไปหมด อากาศเปลี่ยนเร็วมากจริงๆ

ในที่สุดก็ได้เวลาจากมาแล้ว สรุปเราก็ไม่ได้เห็นยอด Cradle Mountain จริงๆ 
เสียใจและผิดหวังเป็นที่สุด เพราะเราคิดว่าคงจะไม่ได้มาเที่ยวที่นี่อีกแล้วแน่ๆ
จุดหมายต่อไปคือ ทุ่งลาเวนเดอร์ ที่ Bridestowe Lavender Estate ต้องขับต่อไปอีกไกลเหมือนกัน
ตอนนี้ก็ได้แต่ลุ้นอย่างเดียวว่า ช่วงบ่ายฟ้าจะใสมั้ย ถ้าฝนตกที่ทุ่งลาเวนเดอร์ แม่ร้องไห้แน่ๆ
แต่พอขับออกมาจาก Cradle Mountain ไม่ไกลนัก ท้องฟ้าก็สดใสอย่างที่เห็น แถวๆนี้เรียกว่า Mt.Roland วิวสวยดี
ข้างทางสวย มีทุ่งหญ้า มีเนินเขาและลำธารให้แวะถ่ายรูปได้เรื่อยๆ

มาถึงตอนนี้เด็กจิ๋วตื่นแล้ว ตื่นมาความสงบในรถก็หายไป เพราะเด็กจิ๋ว พูดๆๆ หรือไม่ก็ร้องเพลง หัวเราะ ขำโน่นนี่ตลอดเวลา
จากในรูปนี้ ฝั่งตรงข้ามที่รถจอด เค้าเลี้ยงตัวอัลปากาด้วยค่ะ เลี้ยงกันริมถนนยังงี้เลย เราแวะเดินไปดูหน่อยนึง แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ
อยากย้อนกลับไป Cradle Mountain จัง ไม่รู้เทฆฝนจะไปรึยัง ฟ้าจะใสแบบมั้ย
แต่ไม่สามารถทำได้จริงๆ เพราะเรามีเวลาอยู่ที่ Tasmania ถึงคืนนี้เท่านั้น และเรายังมีจุดหมายหลักอย่างทุ่งลาเวนเดอร์รออยู่


ทุ่งดอกไม้ข้างทาง

วันนี้ก็ผ่านทุ่งดอกฝิ่นอีกแล้ว แต่คนละบรรยากาศ เพราะวันนี้แดดแรงได้ภาพแบบนึง 
เมื่อวานฝนๆหมอก ก็อีกแบบนึง ชอบแบบเมื่อวานมากกว่านะคะ




เรามาถึงทุ่งลาเวนเดอร์กันก็ราวๆบ่ายสองแล้ว
แล้วก็ต้องดีใจเป็นที่สุด เพราะฟ้าใส แดดจ้ามาก (บางทีแดดแรงไปมั้ยอ่ะ) 
พอลงจากรถ ก็แทบกรี๊ดกับความงามของทุ่งสีม่วงตรงหน้านี้
สวยมากอ่ะ สวยจังเลยเนอะ เราพูดกันแต่แบบนี้ ...
ไม่ผิดหวังจริงๆ กับที่ตั้งให้ที่นี่เป็นจุดหมายอันดับหนึ่งในการมาออสเตรเลียของเรา





มีกลิ่นหอมของดอกลาเวนเดอร์โชยมา อากาศก็กำลังสบายๆ ไม่หนาวเลย ไม่ต้องใส่แจ๊กเกต 
และถึงแม้แดดจะแรงมากแค่ไหน ก็ไม่มีใครหวั่น ต่างตั้งหน้าตั้งตาเดินลงไปถ่ายรูปกับทุ่งลาเวนเดอร์แสนสวยอย่างเมามัน
ขนาดเด็กจิ๋วก็ยังลั้นลากับที่นี่มาก อยู่ดีๆ ก็ร้อง+เต้นเพลงพริกขี้หนู กลางทุ่งเลย 
(กำลังอินกับเพลงนี้เพราะต้องซ้อมเต้นงานโรงเรียนตอนปีใหม่น่ะค่ะ)





เด็กจิ๋วก็ลั้นลา น่ารักมากเช่นกัน เพราะปะป๊ากับแม่บอกให้โพสต์ท่าอะไร ก็ทำให้
ถึงแม้จะมีอิดออดบ้าง แต่ก็ถือว่านางแบบ 4 ขวบคนนี้ทำงานได้ดีแล้วล่ะค่ะ



ทุ่งลาเวนเดอร์ที่นี่มีขนาดใหญ่ กว้างขวางมากๆ ขนาดที่ว่าเราเดินลงมาถ่ายรูปกันเป็นชั่วโมงๆ ก็ยังไปไม่ทั่ว
เรียกว่าเดินไปได้ไม่ถึงครึ่งมั้ง คือมันกว้างใหญ่ และไกลมาก แค่ตรงแถวๆที่เราเดินไปก็ไกลพอดูแล้ว







ถึงแม้ภาพถ่ายจะสวยงามแค่ไหน แต่แม่ว่ามันก็เทียบไม่ได้กับความรู้สึกที่ได้ไปยืนตรงนั้น
มันกว้างใหญ่สุดสายตา สีม่วงละลานตา มีกลิ่นหอมๆของลาเวนเดอร์ แถมลมที่พัดเย็นสบายด้วย 
มีความสุขมากจริงๆ และไม่อยากจากมาเลยค่ะ

แต่วันนี้เรามีเวลาเป็นตัวบังคับ เพราะเราต้องบินกลับ Melbourne กันเย็นนี้ 
ก่อนกลับต้องแวะร้านของที่ระลึกของที่นี่ก่อน อยู่ด้านบนเลย ใกล้ๆ ที่เราจอดรถเลย
อืม..ตอนมาไหงไม่เห็นนะ ไม่ได้มองเลย มองข้ามมันไป ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งมาทุ่งลาเวนเดอร์อย่างเดียวเลย
ต้นโอ๊คต้นใหญ่ต้นนี้ เหมือนจะเป็น Signature ของที่นี่เลยที่เดียว มองไกลๆก็เฉยๆนะคะ
แต่พอเดินไปใต้ร่มเงา จะรู้ว่ามันใหญ่มากๆ ให้ร่มเงากว้างใหญ่ไพศาล

ตรงอาคารร้านขายของที่ระลึก จะมีร้านชาและเบเกอรี่ที่เป็นผลิตภัณฑ์จากลาเวนเดอรืด้วย
เราลองชิมมัฟฟิ่น และเค้กลาเวนเดอร์ อร่อยมั้ย...เฉยๆนะคะ รสชาติกลางๆ แต่กินเอาบรรยากาศมากกว่าค่ะ
นั่งหม่ำขนมชมวิว เพื่อความฟินค่ะ 


ดอกบานสะพรั่งจริงๆ แต่เคยเห็นรูปทุ่งลาเวนเดอร์ที่ Provence ฝรั่งเศส ต้นสูงกว่านี้ 
เวลาถ่ายรูปมาต้นจะบังดินแดงๆระหว่างร่องปลูก เลยทำให้เหมือนจะสวยกว่านี้ (รึเปล่า)
(หุหุ หรือว่า เราจะลองไปดูที่ Provence กันว่าจะสวยกว่าที่นี่จริงมั้ย ... เก็บไว้ในใจก่อน เด็กจิ๋วโตกว่านี้เมื่อไหร่ อาจได้ไปกัน)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น